แนะนำ Supermicro FatTwin ระบบ Server สำหรับงาน Cluster และ Render Farm โดยเฉพาะ
1. FatTwin หน้าตาเป็นอย่างไร?

2. จุดเด่นของ FatTwin
2.1 Storage Node

2.2 Front IO Node

2.3 GPU Node
3. ใครเหมาะสมกับการเลือกใช้ FatTwin?

Nutanix ผู้ผลิตระบบ Enterprise Cloud Server และ Cloud Storage อันดับหนึ่งของโลก ได้เปิดตัว Nutanix Complete Cluster รุ่นใหม่ NX-3050 โดยมีการปรับเปลี่ยน Hardware ภายในให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น โดยจากเดิมรุ่น NX-3000 ที่สามารถรองรับผู้ใช้งาน VDI สำหรับงานทำเอกสารทั่วไป (Task User) ได้ถึง 400 ผู้ใช้งานภายในอุปกรณ์ขนาดเพียง 2U ครั้งนี้ในรุ่น NX-3050 จะสามารถรองรับผู้ใช้งาน VDI ที่ต้องการใช้งานซอฟต์แวร์เฉพาะทาง (Knowledge Workers) มากขึ้นได้มากถึง 400 คน
Spec ของ Nutanix NX-3050 เทียบกับรุ่น NX-2000 และ NX-3000 ที่มีจุดเด่นแตกต่างกันไปตามวัตถุประสงค์การใช้งาน (คลิกเพื่อดูภาพเต็ม)
สำหรับ Hardware หลักๆ ที่มีการเปลี่ยนแปลงของ Nutanix จากรุ่น NX-3000 เป็นรุ่น NX-3050 มีดังนี้
ซึ่งในการปรับลด PCI-E SSD ออกในครั้งนี้ เป็นเพราะว่าเทคโนโลยีของ SATA SSD ในปีนี้ได้มีการก้าวกระโดดอย่างรวดเร็ว จน High Performance SSD นี้มีประสิทธิภาพทัดเทียมกับ PCI-E SSD เดิมที่ใช้ แต่มีน้ำหนักเบากว่า, ประหยัดพลังงานกว่า และมีความทนทานสูงกว่า ซึ่งการที่ Nutanix สามารถเลือกใช้ Hardware ที่ดีที่สุดในโลกในแต่ละช่วงขณะได้นี้ก็ถือเป็นจุดเด่นที่น่าสนใจ เพราะไม่ว่าเทคโนโลยี PCI-E SSD หรือ SATA SSD จะก้าวล้ำไปกว่ากัน ทาง Nutanix ก็ยังคงสนับสนุนการใช้งานเทคโนโลยีทั้งสองนี้ได้ทั้งคู่
โดยสำหรับผู้ใช้งานที่ต้องการรุ่น NX-3000 ก็ยังคงสั่งซื้อได้อยู่เช่นเดิม ซึ่งจุดแตกต่างหลักๆ ก็จะเป็นเรื่องของ CPU ที่เพิ่มประสิทธิภาพมากว่า 18% และการทำ Tiering 3 ระดับของรุ่น NX-3000 กับการทำ Tiering 2 ระดับของรุ่น NX-3050 ที่มีขนาดของ Tier ชั้นแรกสุดใหญ่ขึ้นเกือบสองเท่านั่นเอง ซึ่งปัจจัยหลักๆ ที่ทำให้ NX-3050 มีประสิทธิภาพสูงกว่า NX-3000 นี้จะมาจากประเด็นเรื่อง CPU เป็นหลักมากกว่าเรื่องของการเปลี่ยน SSD แต่ก็แลกมาด้วยการปรับลดพื้นที่จัดเก็บข้อมูลจากเดิม 20TB เหลือเพียง 16TB เท่านั้น
สำหรับใครที่ต้องการทดสอบโซลูชัน VDI สำหรับผู้ใช้งานหลักร้อยคนขึ้นไปให้มีความเร็วและความทนทานสูงด้วย Nutanix ก็สามารถติดต่อ Throughwave Thailand ที่ info@throughwave.co.th หรือโทร 02-210-0969 เพื่อติดต่อสอบถามรายละเอียดได้ทันที
ที่มา: www.throughwave.co.th
Nutanix ผู้ผลิตระบบ Cloud Server และ Cloud Storage ได้ประกาศสนับสนุน VMware Horizon Suite อย่างเต็มตัว โดย Nutanix สามารถทำหน้าที่เป็น Platform สำหรับติดตั้ง VMware Horizon Suite ได้อย่างสมบูรณ์ภายในระบบเดียว ทำให้องค์กรสามารถให้บริการ Virtual Desktop Infrastructure (VDI) และ Enterprise Data Service ได้อย่างครบถ้วนภายใน Hardware Appliance สำเร็จรูปจาก Nutanix เพียงอุปกรณ์ ซึ่งได้ควบรวมทั้งสถาปัตยกรรมของ Server และ Storage ที่สามารถทำงานทดแทนกันได้อย่างสมบูรณ์ภายในฮาร์ดแวร์เพียงชุดเดียว ทำให้องค์กรสามารถลดความซับซ้อนจากการนำ SAN Storage และ SAN Networking เข้ามาใช้งานในศูนย์ข้อมูลได้ รวมถึงยังสนับสนุนการทำ Disaster Recovery ได้อย่างสมบูรณ์อีกด้วย
Nutanix สามารถให้บริการ Virtual Desktop สำหรับผู้ใช้งานตั้งแต่ 300 – 3,000 คน โดยผู้ใช้งานยังคงสามารถเรียกใช้ Application ต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว
นอกจากนี้วิศวกรจาก VMware เองก็ได้ทำการตรวจสอบสถาปัตยกรรมของ Nutanix ร่วมกับ VMware Horizon Suite เป็นที่เรียบร้อยว่า Nutanix สามารถเป็น Platform สำหรับให้บริการ Virtual Desktop, Application Catalog และ Enterprise Data ได้เป็นอย่างดี อีกทั้งยังมีประสิทธิภาพสูง (Performance Optimized, )สามารถเพิ่มขยายได้ในอนาคต (Scalable), มีความยืดหยุ่นในการใช้งานและการออกแบบ (Flexible) รวมถึงยังสามารถบริหารจัดการได้โดยง่าย โดย VMware Horizon Suite นี้ประกอบไปด้วย VMware Horizon View และ VMware Horizon Workspace โดยทั้งสองระบบนี้สามารถติดตั้งและให้บริการบน Nutanix ได้อย่างรวดเร็ว
สำหรับใครที่ต้องการข้อมูลเกี่ยวกับ Nutanix เพิ่มเติม หรือต้องการทดสอบ Nutanix สามารถติดต่อบริษัท Throughwave Thailand ได้โดยตรง ที่ info@throughwave.co.th หรือโทร 02-210-0969
———-
ที่มา: www.throughwave.co.th
Supermicro ผู้ผลิตระบบ Server ชั้นนำจากสหรัฐอเมริกา ได้ประกาศเปิดตัว Virtual Desktop Infrastructure Solution (VDI) แบบใหม่ร่วมกับ NVIDIA GRID ที่สามารถนำการ์ดประมวลผลกราฟฟิคหรือ GPU เข้ามาช่วยประมวลผลได้ ทำให้การใช้งานซอฟต์แวร์ที่มีการคำนวนกราฟฟิคบนระบบ Virtual Desktop เป็นไปได้อย่างราบรื่นยิ่งขึ้น ตอบโจทย์ต่อความต้องการขององค์กรได้หลากหลายมากยิ่งขึ้น
การเปิดตัวเทคโนโลยี NVIDIA GRID ร่วมกับ Supermicro ครั้งนี้เกิดขึ้นในงาน “2013 NVIDIA GPU Technology Conference (GTC 2013)” ซึ่งจัดขึ้นที่ San Jose, California โดย NVIDIA ได้เปิดตัวการ์ด NVIDIA GRID K1 และ K2 ซึ่งเป็นการ์ดจอที่ถูกออกแบบมาโดยเฉพาะสำหรับการทำ Virtualization เพื่อรองรับความต้องการในการประมวลผลทางด้านภาพบนระบบ VDI อย่างมีประสิทธิภาพสูง เช่น งานออกแบบทางด้านวิศวกรรม, งานออกแบบกราฟฟิคส์ และงานตัดต่อ ทำให้องค์กรต่างๆ สามารถนำระบบ VDI ไปประยุกต์ใช้ได้หลากหลายยิ่งขึ้น และลดค่าใช้จ่ายในระยะยาวลง
ในขณะที่ระบบตัวอย่างที่มีการนำเสนอในงานนั้น สามารถรองรับผู้ใช้งาน Virtual Desktop ที่ใช้งานกราฟฟิคเป็นหลักได้ 600 เครื่องต่อเซิฟเวอร์ขนาด 42U ทาง Supermicro ได้กล่าวว่าระบบของ Supermicro ร่วมกับ NVIDIA GRID จะสามารถรองรับผู้ใช้งานที่เน้นงานกราฟฟิคได้มากถึง 1,800 เครื่องต่อเซิฟเวอร์ขนาด 42U ทำให้ผู้ใช้งานสามารถใช้งานซอฟต์แวร์ประมวลผลกราฟฟิคต่างๆ ผ่านทาง Thin Client ได้อย่างมีประสิทธิภาพขึ้น และองค์กรเองก็สามารถบริหารจัดการเครื่องลูกข่ายเสมือนเหล่านี้ได้ดียิ่งขึ้น และลดต้นทุนได้มากยิ่งขึ้นอีกด้วย
นอกจากนี้ ระบบ Cloud แบบใหม่สำหรับการเล่นเกมโดยเฉพาะ หรือ Cloud Gaming ที่กำลังจะมาในอนาคตนี้ ก็จะมีเทคโนโลยีเดียวกันนี้เป็นพื้นฐานเช่นเดียวกัน ซึ่ง Supermicro ก็ได้กล่าวถึงความพร้อมในการผลิตเซิฟเวอร์สำหรับระบบ Cloud Gaming นี้อีกด้วย
สำหรับผู้ที่สนใจรายละเอียดเพิ่มเติม สามารถติดตามได้ที่ https://www.supermicro.com
———–
Nutanix Complete Cluster ร่วมกับ VMware Branch Office Desktop สามารถสร้างระบบ “Branch Office in a Box” ได้ภายในเวลาเพียง 30 นาที, เพิ่มขยายได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อม Built in Redundancy
Nutanix ผู้ผลิตระบบ Cloud Server และ Cloud Storage สำหรับ VMware ได้ประกาศว่า Nutanix Complete Cluster ได้รับเลือกให้เป็น Validated Solution ของ VMware Branch Office Desktop แล้ว โดย Nutanix สามารถให้บริการ Virtual Desktop Infrastructure (VDI) และ Virtual Data Center ร่วมกับ VMware ได้อย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพสูงที่สุด รวมถึงสามารถให้บริการ VMware Brach Office Desktop ได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย
Nutanix ร่วมกับ VMware View สามารถให้บริการ Virtual Desktop Infrastructure (VDI) ได้ทั้งที่สาขาหลัก และสาขาย่อยขององค์กร
โซลูชัน VMware Branch Office นี้ จะช่วยให้องค์กรต่างๆ ที่มีสาขากระจายอยู่ทั่วประเทศหรือทั่วโลก สามารถบริหารจัดการเครื่อง Desktop ของผู้ใช้งานทุกคนได้จากศูนย์กลางผ่านทางระบบ Virtual Desktop Infrastructure ซึ่งทำให้องค์กรสามารถบริหารจัดการผู้ใช้งาน, ความปลอดภัย และลดค่าใช้จ่ายในระยะยาวได้เป็นอย่างดี
ด้วยการนำ Nutanix Complete Cluster มาผสมผสานกับ VMware Branch Office และ VMware View Virtual Desktop Infrastructure (VDI) แล้ว ระบบ VDI สำหรับ Branch Office จะได้รับประโยชน์ดังนี้
Nutanix ได้ติดตั้งซอฟต์แวร์ต่างๆ ที่จำเป็นสำหรับระบบ VDI มาให้แล้ว จึงสามารถทำการติดตั้ง VDI ที่ Branch Office ได้ภายในเวลาไม่ถึง 30 นาที
VMware vCenter สามารถบริหารจัดการทุกอย่างใน VDI ได้ทันที ไม่จำเป็นต้องมีระบบบริหารจัดการ Server หรือ Storage อีกต่อไป
เนื่องจาก Nutanix เป็น Cloud Server และ Cloud Storage ในตัว เมื่อทำงานร่วมกับ VMware High Availability และ Fault Tolerant แล้ว จึงมั่นใจได้ว่าระบบ Virtual Desktop จะมีความเสถียรสูงสุดอย่างแน่นอน
Nutanix และ VMware Branch Office Desktop สามารถทำให้ธุรกิจสามารถเริ่มต้นลงทุนกับ Virtual Desktop จากขนาดเล็ก และขยายไปขนาดใหญ่ได้โดยไม่ส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพของระบบ และไม่ต้องยุ่งยากกับการบริหารจัดการ SAN Storage อีกต่อไป
Nutanix สามารถให้บริการ Virtual Desktop สำหรับผู้ใช้งานตั้งแต่ 300 – 3,000 คน โดยผู้ใช้งานยังคงสามารถเรียกใช้ Application ต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว
ด้วย Nutanix Complete Cluster ร่วมกับ VMware View Virtual Desktop Infrastructure ทำให้องค์กรต่างๆ สามารถสร้างระบบ VDI ที่มีประสิทธิภาพสูง, บริหารจัดการง่าย, มีความปลอดภัย และยังประหยัดค่าใช้จ่ายได้เป็นอย่างมาก
สำหรับผู้ที่สนใจใน Nutanix, Virtual Desktop Infrastructure (VDI), Cloud Server, Cloud Storage สามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้จากเอกสารดังต่อไปนี้ทันที
Nutanix เป็นผู้ผลิต Cloud Server และ Cloud Storage ภายใต้สถาปัตยกรรมแบบเดียวกับ Cloud Provider ชั้นนำเช่น Google และ Amazon โดยสามารถสร้างระบบ Virtualization Data Center และ Virtual Desktop Infrastructure ประสิทธิภาพสูงได้ภายใน Appliance ขนาดเพียง 2U โดยมีความสามารถในการทำ High Availability และ Fault Tolerant ภายในตัว นอกจากนี้ Nutanix ยังได้รับรางวัล VMworld Golden Award สาขา Desktop Virtualization มาแล้ว www.nutanix.com
ที่มา: www.throughwave.co.th
Supermicro ผู้นำทางด้านระบบเซิฟเวอร์ประสิทธิภาพสูง และกินพลังงานต่ำ ได้เปิดตัวเซิฟเวอร์สถาปัตยกรรมใหม่ Fat Twin ที่ถูกออกแบบมาโดยเฉพาะสำหรับ Data Center ในยุคใหม่ที่ต้องการระบบประมวลผลประสิทธิภาพสูง, จัดเก็บข้อมูลได้เป็นจำนวนมาก, ดูแลรักษาง่าย และประหยัดไฟฟ้าถึงขีดสุด หรือพูดอีกอย่างหนึ่งว่า Fat Twin ถูกออกแบบมาเพื่อรองรับกับระบบ Cloud Data Center, Apache Hadoop, NoSQL และ Big Data โดยเฉพาะนั่นเอง
Fat Twin Server นั้นจะมีเซิฟเวอร์ภายในตั้งแต่ 4 – 8 เครื่อง รวมแล้วมีความสูงมากถึง 4U สามารถติดตั้งได้บนตู้ Rack มาตรฐาน โดยเซิฟเวอร์ทุกเครื่องนี้จะสามารถถอดเปลี่ยนได้แบบ Hot Swap ทันที พร้อมทั้งมี Power Supply และพัดลมระบายอากาศอยู่ด้านหลังรวมทั้งสิ้น 4 ชุด
ทางด้านหน่วยประมวลผลนั้น Fat Twin ใช้ CPU Intel Xeon E5 เป็นหลัก ดังนั้นเซิฟเวอร์ทุกรุ่นภายใน Fat Twin แต่ละชุดนี้จะสามารถติดตั้ง CPU Intel E5 นี้ได้ 2 ชุด โดยมีจำนวน Core มากถึง 16 Cores และมีจำนวน Thread ได้สูงสุดถึง 32 Threads ในแต่ละเซิฟเวอร์นั่นเอง
สำหรับทางด้านหน่วยความจำนั้น แต่ละเซิฟเวอร์ใน Fat Twin สามารถใส่หน่วยความจำได้ตั้งแต่ 256GB ถึง 512GB ตามแต่รุ่นที่เลือก เรียกได้ว่าจริงๆ แล้วต่อให้เป็นระบบ In-memory Database ก็ยังสามารถติดตั้งใช้งานบน Fat Twin ได้เป็นอย่างดีเช่นกัน ซึ่งระบบ NoSQL ทั้งหลายที่ต้องการหน่วยความจำเป็นจำนวนมากก็น่าจะชอบการออกแบบระบบแบบนี้
แต่ทั้งหมดที่กล่าวมาข้างต้นนี้ยังถือว่าธรรมดามาก เมื่อเทียบกับข้อดีถัดๆ ไปจากนี้
คุณสมบัติสุดโดดเด่นข้อแรกของ Fat Twin ก็คงหนีไม่พ้นความหนาแน่นของ Hard Drive นี่เอง จากเดิมที่เซิฟเวอร์ความสูง 1U ทั่วๆ ไปนั้นสามารถใส่ Hard Drive ได้อย่างมากที่สุดก็แค่ 4 ลูกเท่านั้น แต่ด้วย Fat Twin นี้ทำให้ความสูง 1U สามารถมีพื้นที่ได้มากถึง 10 ลูก หรือคิดเป็น 250% จากสถาปัตยกรรมแบบเดิมๆ และเมื่อนำ Hard Drive ขนาด 4TB มาติดตั้งเข้าไปแล้ว ก็จะทำให้เรามีพื้นที่ได้มากสุดถึง 40TB ต่อ 1U เลยทีเดียว!
แล้วระบบแบบไหนถึงจะต้องการความจุมากถึงขนาดนี้? หนึ่งในระบบที่ต้องการความจุมากๆ และมีเซิฟเวอร์จำนวนหลายๆ เครื่องไปพร้อมๆ กันก็คือ Apache Hadoop นั่นเอง เพราะ Apache Hadoop มีการจัดเก็บข้อมูลซ้ำซ้อนเป็นจำนวนมากเพื่อความทนทานของระบบ และยังมีการทำ Indexing ในรูปแบบต่างๆ เพื่อเพิ่มความเร็วอีกด้วย ดังนั้นเพียงแค่ Fat Twin เพียงหนึ่งหรือสองชุด ก็เพียงพอต่อการสร้าง Apache Hadoop Cluster ประสิทธิภาพสูงไว้ใช้งานแล้ว
นอกจาก Apache Hadoop แล้ว ระบบ Cloud Data Center สมัยใหม่เองก็ต้องการความจุสูงเช่นกัน เนื่องจาก Cloud Vendor ในแต่ละเจ้าเริ่มที่จะมีแนวโน้มในการเลิกใช้ SAN Storage มากขึ้นเรื่อยๆ และแนะนำให้มีการจัดเก็บข้อมูลบน Local Storage ของเซิฟเวอร์แต่ละเครื่องเอง แล้วจึงทำ Replication ข้ามไปยังเครื่องอื่นเรื่อยๆ เพื่อให้มีความเสถียรของระบบสูง ซึ่งการทำแบบนี้แม้จะทำให้เราต้องใช้ Hard Drive มากขึ้นจากเดิมเป็น 2-3 เท่า แต่ก็สามารถแลกมาได้ด้วยการตัด SAN Storage Controller, HBA Adapter และ SAN Switch ออกไปจากเครือข่าย ทำให้ประหยัดต้นทุนไปได้มากทีเดียว
ข้อดีข้อที่สองของ Fat Twin Server ก็คือการทนความร้อนสูงถึง 47 องศาเซลเซียส ทำให้ค่าใช้จ่ายในการสร้าง Data Center ประหยัดลงไปมากในหลายๆ ครั้ง เพราะ Fat Twin สามารถใช้งานได้อย่างสมบูรณ์ในอุณหภูมิห้องแอร์ตามปกติ รวมถึง Data Center ขนาดใหญ่เองที่สร้างเสร็จไปแล้ว ก็สามารถลดการควบคุมอุณหภูมิให้กับ Fat Twin ได้มากเป็นพิเศษ จากเดิมที่ต้องควบคุมอุณหภูมิที่ประมาณ 20 – 25 องศาเซลเซียส ก็สามารถลดเหลือ 30-35 องศาเซลเซียสได้
ด้วยการทนความร้อนระดับนี้ ประกอบกับความจุของ Hard Drive ทำให้หลายๆ องค์กรสามารถเริ่มต้นระบบ Apache Hadoop สำหรับจัดเก็บข้อมูลแบบ Big Data ได้ทันทีโดยที่ไม่ต้องสร้าง Data Center ใหม่, ไม่ต้องมีตู้ Rack รวมถึงไม่ต้องซื้อ SAN Storage มาใช้งานแต่อย่างใด เพียงแค่ซื้อ Fat Twin Server ชุดเดียว แล้วติดตั้งไว้ในห้องแอร์ ก็สามารถเริ่มต้นไปกับ Big Data ได้ทันที
ด้วยความสามารถในการทนความร้อนได้ถึง 47 องศาเซลเซียส และประกอบกับการออกแบบระบบ Power Supply แบบ Digital Switching ที่ทำให้มี Power Efficiency มากถึง 95% ซึ่งเหนือกว่าคู่แข่งทุกเจ้า ทำให้ Supermicro Fat Twin สามารถประหยัดไฟได้มากกว่าเซิฟเวอร์ที่ประหยัดไฟที่สุดของคู่แข่งถึง 15% และสามารถประหยัดไฟกว่าเซิฟเวอร์ทั่วๆ ไปได้อย่างมหาศาลเลยทีเดียว เนื่องจากเซิฟเวอร์ทั่วๆ ไปนั้นนอกจากจะต้องคงอุณหภูมิไว้ที่ 20 – 25 องศาเซลเซียสแล้ว ยังมี Power Efficiency เพียงแค่ 80% เท่านั้น ซึ่งเมื่อเทียบกับ Fat Twin Server ที่สามารถทำงานที่อุณหภูมิ 30 – 35 องศาเซลเซียส พร้อม Power Efficiency ที่มากถึง 95% แล้ว ก็เรียกได้ว่าแตกต่างกันหลายเท่าตัว
สำหรับ Fat Twin Server นี้ จะเหมาะที่สุดสำหรับ
สำหรับใครที่สนใจระบบ Supermicro Fat Twin Server หรือ Supermicro Server อื่นๆ ก็สามารถติดต่อสอบถามมาทางบริษัททรูเวฟ ประเทศไทย จำกัด ได้โดยตรงที่เบอร์ 02-210-0969 หรืออีเมลล์มาที่ info@throughwave.co.th ได้ทันที
ที่มา: https://www.throughwave.co.th
Infortrend Technology บริษัทผู้เชี่ยวชาญด้าน Storage System เปิดตัว EonStor DS G7 ซึ่งเป็น Storage รุ่นใหม่ล่าสุด เพื่อรองรับการใช้งานด้านข้อมูลที่มากขึ้นขององค์กร โดยตัว EonStor DS G7 นี้มีประสิทธิภาพ (Throughput) การอ่านข้อมูลสูงสุด 5,500 MB/s เขียนข้อมูลได้สูงสุด 3,000 MB/s ส่งผลให้รองรับการอ่านข้อมูลสูงสุดถึง 700K IOPS ซึ่งอาจถือได้ว่าเป็น Storage รุ่นที่มีประสิทธิภาพสูงสุดของตลาดในเวลานี้
คุณสมบัติเด่นของ EonStor DS G7
3 รุ่นเด่นของ EonStor DS G7
อ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://www.infortrend.com/Event2011/2011_Global/201112_ESDS_G7/ESDS_G7.html
Supermicro ผู้นำทางด้านระบบเซิฟเวอร์นวัตกรรมสูงและประหยัดพลังงานชั้นนำของโลก ได้เปิดตัว Server ใหม่กว่า 100 ระบบ สำหรับรองรับ CPU ใหม่ล่าสุดจาก Intel รุ่น E5 หรือที่รู้จักกันในโค้ดเนมว่า Romley นั่นเอง
ในการเปิดตัวครั้งนี้ Server ที่สนับสนุน Intel E5 นั้น จะรองรับได้มากสุดที่ Intel E5-2600 ซึ่งติดตั้งได้ 2 CPU โดยมี CPU ละ 8 Core / 16 Threads และรองรับหน่วยความจำได้มากถึง 768GB ต่อ 1 Server และสำหรับในอนาคต Intel E5-4600 ซึ่งติดตั้งได้ 4 CPU ก็คาดว่าจะออกตามมาภายในปีนี้ ซึ่งต้องติดตามดูกันต่อไป
โดยในเวลานี้ Server ที่สามารถติดตั้ง Intel E5 ได้นั้น ก็จะมีทั้ง Rack Mount Server ขนาด 1U-4U, Workstation Server, GPU Server, Twin Server, Twin^2 Server, Blade Server และ MicroCloud Server อีกด้วย
ส่วนนวัตกรรมอื่นๆ ที่ Supermicro เปิดตัวมาพร้อมๆ กันนั้น มีดังนี้
จากเดิมที่ Supermicro มี Power Efficiency สูงถึง 94% นั้น มาในครั้งนี้ Supermicro ได้เสนอ Power Supply ประสิทธิภาพสูงที่มี Power Efficiency มากขึ้นเป็น 95% ซึ่งจะช่วยลดค่าใช้จ่ายทางด้านพลังงานให้ Data Center ใหญ่ๆ ได้อย่างมากมาย ในขณะทีคู่แข่งยังคงมี Power Efficiency อยู่เพียงแค่ 80-90% เท่านั้น
สำหรับ Data Center ที่มีปัญหาทางด้านอุณหภูมิ ทาง Supermicro ก็ได้ออกแบบ Server เฉพาะ ซึ่งสามารถทำงานได้ที่อุณหภูมิสูงถึง 47 องศาเซลเซียส สำหรับใช้งานในประเทศที่มีภูมิอากาศแบบประเทศไทยโดยเฉพาะ
สำหรับ Data Center ที่ต้องการระบบงานแบบ High Availability อย่างเต็มตัว Supermicro ได้นำเสนอ UPS Module สำหรับติดตั้งภายใน Server เพื่อสำรองระบบไฟฟ้าได้โดยไม่ต้องพึ่งพา UPS ภายนอกอีกแล้ว
สำหรับการบริหารจัดการระบบ Cloud ขนาดใหญ่ Supermicro ได้ออกซอฟต์แวร์สำหรับบริหารจัดการ Hardware ทั้งหมดอย่างเบ็ดเสร็จ ไม่ว่าจะเป็นการกำหนดค่าต่างๆ, การตรวจสอบการทำงานของ Server รวมถึงการปรับแต่งค่าการใช้พลังงานของ Server ทั้งหมด เพื่อควบคุมค่าใช้จ่ายทางด้านพลังงานสำหรับ Data Center โดยเฉพาะ
สำหรับ Server Architecture ใหม่ล่าสุดนั้น ทาง Supermicro ก็ยังคงปิดเป็นความลับอยู่ ว่า Fat Twin คืออะไร และจะออกมาเพื่อตอบรับตลาดไหน ซึ่งภายในปีนี้เราน่าจะได้รู้กันอีกครั้งหนึ่ง
สำหรับใครที่อยากทราบรายละเอียดเพิ่มเติม สามารถติดตามเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ของ Supermicro โดยตรงได้ทันที https://www.supermicro.com/index.cfm
———-
บทความโดย Throughwave Thailand
ท่านสามารถติดตามข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่ https://www.throughwave.co.th
เพิ่มกำลังการผลิต, ศูนย์กลางการขนส่ง, การจัดการ และ Research & Development อีกเท่าตัวเพื่อรองรับการขยายตัวของตลาดใน APAC, EMEA และทั่วโลก
Super Micro Computer, Inc. (NASDAQ: SMCI) ผู้นำทางด้านนวัตกรรมเซิฟเวอร์ประสิทธิภาพสูงและประหยัดพลังงาน ได้เปิดตัว Science and Technology Park อย่างเป็นทางการที่ประเทศไต้หวันเมื่อวันที่ 6 มกราคม 2555 โดยมีแขกระดับ VIP และเจ้าหน้าที่จากรัฐบาลมากมายเข้าร่วมงานเพื่อเปิดตัวอาคาร Science and Technology Part ที่ถือได้ว่าเป็นหนึ่งในศูนย์พัฒนาทางด้านธุรกิจที่ใหญ่ที่สุดโครงการหนึ่งในรอบหลายปีที่ผ่านมา Read more
CA ARCserve ผู้ผลิตซอฟต์แวร์ Backup และ Disaster Recovery ชื่อดังจากอเมริกา ได้ออกโปรโมชั่นตอบรับกระแสความต้องการสำรองข้อมูล เตรียมรับมือภัยพิบัติต่างๆ ในปีนี้ โดยเมื่อซื้อลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์ ARCserve D2D สำหรับ Server 1 ชุด ทาง CA จะแถมลิขสิทธิ์ของ ARCserve D2D สำหรับ Client ฟรีอีก 5 ชุดทันที เพื่อให้การสำรองข้อมูลของทั้งองค์กรเป็นไปได้อย่างสมบูรณ์ทั้งในระดับของ Data Center และระดับของ User พร้อมๆ กัน Read more
Infortrend ผู้ผลิตระบบ SAN Storage ประสบการณ์กว่า 20 ปี ได้รุกตลาด Unified NAS Storage (Network Attached Storage) สำหรับตลาดทุกขนาด เปิดตัว EonNAS 4 Series ได้แก่ EonNAS Pro, EonNAS 1000, EonNAS 3000 และ EonNAS 5000 สำหรับตลาดตั้งแต่ SOHO จนถึง Enterprise ขนาดใหญ่ รองรับ Protocol ที่หลากหลายครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็น NFS, CIFS, AFP, Apple Time Machine, FTP, HTTP และ iSCSI รวมถึงความสามารถในการปกป้องข้อมูลด้วย RAID, Snapshot, ZFS, NDMP, Remote Replication แถมด้วยความสามารถในการจัดเก็บข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพด้วย Deduplication ในตัวอีกด้วย! Read more
สำหรับเทคโนโลยีสารสนเทศในองค์กรที่โดดเด่นในปี 2011 มากๆ และน่าจะกลายเป็นเทรนด์ที่มาแรงที่สุดอันหนึ่งในปี 2012 ก็คงจะหนีไม่พ้นเทคโนโลยี Virtual Desktop Infrastructure หรือที่เรามักจะได้ยินคำย่อว่า VDI นั่นเอง เนื่องจากแนวคิดของ VDI นั้นสามารถเพิ่มความคล่องตัว และความปลอดภัยให้แก่ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศภายในองค์กรได้อย่างครบถ้วน และถือเป็นทางเลือกในการลงทุนระยะยาวที่คุ้มค่าที่สุดระบบหนึ่งในปัจจุบัน
แต่ในประเทศไทย แนวคิดและการปฏิบัติของ VDI นั้นยังไม่แพร่หลาย และยังมี Case Study ไม่มากนัก วันนี้ทาง Throughwave Thailand จึงถือโอกาสมาวิเคราะห์ถึงประโยชน์ และความคุ้มค่าของระบบ VDI สำหรับองค์กรต่างๆ ในประเทศไทย รวมถึงแก้ไขความเข้าใจผิดต่างๆ เกี่ยวกับระบบ VDI ด้วย โดยก่อนที่เราจะพูดคุยกันถึงประโยชน์ของระบบ VDI นั้น เรามาดูภาพรวมกันก่อนว่า VDI คืออะไร
หากท่านมีคำถาม, ข้อสงสัย, ต้องการใบเสนอราคา หรือต้องการพูดคุยกับทีมงาน สามารถติดต่อทีมงาน Throughwave Thailand ซึ่งมี Engineer คอยให้คำปรึกษาและบริการได้โดยตรงที่ info@throughwave.co.th หรือโทร 02-210-0969 ได้ทันที หรือสามารถเยี่ยมชมเว็บไซต์ของ Throughwave Thailand ได้ที่ https://www.throughwave.co.th/