Throughwave Thailand Technology Update Blog | Switch, Wireless, Security, NAC, E-mail, Collaboration, Server, Storage, VMware and Virtualization

Datacenter ระดับโลก เค้าใช้อุปกรณ์อะไรกัน ?

เคยสงสัยกันไหมครับว่า พวก Datacenter ระดับโลกเค้าใช้อุปกรณ์อะไร ใช้ Server, Storage และ Switch ยี่ห้อไหนกัน ?
วันนี้ทรูเวฟจะพาคุณผู้อ่านลัดเลาะไปดูตาม Datacenter ใหญ่ๆ โดยแยกตามอุปกรณ์ พร้อมแล้วตามไปดูกันเลยครับ

Supermicro

Supermicro เป็นผู้ผลิต Servers รายใหญ่จากประเทศอเมริกา ก่อตั้งมาได้ประมาณ 17 ปี ที่สำนักงานใหญ่มีโรงงานประมาณ 7 โรงงานตั้งอยูุ่ที่ Silicon Valley ชื่อของแบรนด์ Supermicro ในไทย อาจยังไม่คุ้นหูเท่าใดนัก แต่ผู้อ่านทราบหรือไม่ครับว่า เจ้า Server ยี่ห้อ Supermicro นี้ กินส่วนแบ่งการตลาดในประเทศอเมริกามากกว่า 60% ขายได้มากกว่ายี่ห้อดังๆ ทุกยี่ห้อรวมกัน โดยลูกค้าของ Supermicro มีอยู่ในหลายวงการ ตัวอย่างเช่น Search Engine Provider รายยักษ์ใหญ่ ก็ใช้ Supermicro กว่า 20,000 เครื่อง เป็นเครื่องหลักโดยวางไว้ที่ Core Datacenter ในการให้บริการกับผู้ใช้งานทั่วโลก หรือตาม Lab ดังๆ โรงงานใหญ่ๆ ก็ใช้ Supermicro กว่าหมื่นเครื่องเช่นเดียวกัน

จุดเด่นของ Supermicro
Supermicro ขึ้นชื่อในเรื่องของประสิทธิภาพการทำงานที่รวดเร็ว แข็งแกร่ง รองรับการทำงานหนักติดต่อกันได้อย่างสบาย ด้วยเทคโนโลยีเฉพาะตัว โดยเมื่อเร็วๆนี้ได้ส่ง Twin Servers รุกตลาด Next Generation Data Center สำหรับลูกค้ากลุ่ม ISP โดยมีคุณสมบัติพิเศษสามารถติดตั้ง Server แบบ Hot Swap ที่มีหน่วยประมวลผลจาก Intel หรือ AMD 2 ชุด, หน่วยความจำ 192GB พร้อมเชื่อมต่อ Storage ภายนอกได้ ทั้งหมด 4 Server ภายในพื้นที่เพียง 2U สนับสนุนระบบ Virtualization อย่างเต็มตัว และล่าสุด Supermicro เปิดตัวโซลูชั่นส์ใหม่ที่มีชื่อว่า “Micro Cloud SuperServers” เอาใจลูกค้ากลุ่ม Web Hosting และ SME โดยเฉพาะ ด้วยราคาที่จัดอยู่ในเกณฑ์ย่อมเยา และขนาดเครื่องเพียง 3U แต่สามารถใส่ Server ได้ถึง 8 Servers ติดตั้งฮาร์ดดิสก์ภายในแบบ SATA3  ซึ่งเป็นเทคโนโลยีใหม่ล่าสุด ด้วยความเร็ว 6 Gbps ได้ 2 ชุดต่อ 1 Server

นอกเหนือจากเรื่องประสิทธิภาพที่แข็งแกร่ง, มี Reference Sites ระดับ Datacenter ใหญ่ๆของโลกแล้ว Supermicro มีบริการ Services ในระดับ 5×8, 7×24 และ Spare Part พร้อมให้บริการทั่วประเทศไทย

Force10

Switch Force10 เป็น Switch Backbone ให้กับ Datecenter ระดับโลกมากมาย อาทิเช่น สำนักวิจัย CERN ใช้ Switch Force10 10 GbE กว่าร้อยเครื่อง ให้บริการนักวิทยาศาตร์ใช้งานทำวิจัยกว่า 7,000 คน ส่งข้อมูลถึง 15 Petabytes/ปี หรือ Facebook ที่เราใช้งานกันอยู่ทุกวันนี้ ก็ใช้ Switch Force10 เป็น Core switch รองรับผู้ใช้งานทั่วโลกกว่า 500 ล้านคน โดยทาง Facebook ได้กล่าวไว้ว่า “The Force10 gear is pretty much bullet proof …the boxes just run” ซึ่งแปลเป็นไทยได้ว่า Switch Force10 แค่วางตั้งทิ้งไว้ ก็รองรับปริมาณการใช้งานมหาศาล และมีความเสถียรเป็นที่สุด

นอกจาก CERN และ Facebook แล้วยังมี Datacenter ระดับโลกอื่นๆที่เลือกใช้ Force10 เป็น Core Switch อีก เช่น Yahoo, Apple, Adobe, American Express, Bloomberg, Baidu, Youtube, NASA ฯลฯ

จุดเด่นของ Force10
ถ้าดูจาก Reference Sites ด้านบนแล้ว ถือเป็นการรับประกันคุณภาพและประสิทธิภาพของ Force10 ได้มากกว่าคำพูดใดๆ Force10 ขึ้นชื่อเรื่องของความนิ่ง ความเสถียร ทนทานต่อทุกสภาพการใช้งาน และรองรับ Throughput ปริมาณมหาศาล ตัวอย่างเช่น Force10 รุ่น S4810 มีพอร์ต 10 GbE SFP+ จำนวน 48 พอร์ต และมีพอร์ต 40 GbE QSFP+ อีก 4 พอร์ต รวมแล้วมี Switching Capacity สูงถึง 1,280 Gbps ในขนาดเพียง 1U เรียกได้ว่าเป็นรุ่นใหม่ที่ทำเอาวงการ Switch สั่นสะเทือน เนื่องจาก S4810 ทำงานเป็น Core Switch ได้สบายๆ ในขนาดแค่ 1U และเมื่อนำ Switch S4810 เพียง 2 ชุด ทำงานร่วมกันแบบ Redundant โดยใช้พื้นที่เพียง 2U ก็จะทำให้องค์กรของคุณผู้อ่านสนับสนุนระบบเครือข่ายความเร็ว 10 GbE และ 40 GbE ได้เป็นแห่งแรกๆ ของภูมิภาค และเป็นการวางรากฐานที่ดีสำหรับ Data Center ในอนาคต (ปัจจุบันของ S4810 ของเริ่มขาดตลาด ถ้าจะสั่งต้องรอนิดนึงนะครับ)

และล่าสุด Force10 พึ่งเปิดตัว Series Z9000 40GbE Core Switch ซึ่งเป็น Core Switch ขนาด 2U ติดตั้งพร้อมพอร์ต 40GbE QSFP+ จำนวน 32 พอร์ต หรือใช้งานเป็นพอร์ต 10GbE SFP+ ได้สูงถึง 128 พอร์ต โดยมี Switching Capacity สูงถึง 2.5 Tbps และรองรับทั้งการทำงานแบบ Layer 2 และ Layer 3 พร้อมคุณสมบัติ Plug-n-Play และ VMware Awareness เพื่อรองรับการทำหน้าที่เป็น Cloud Computing Cores และ High Performance Computing Cores สำหรับ 2,000 – 6,000 Physical Servers และ Storages

Infortrend

Infortrend ผู้ผลิต Storage รายใหญ่ของโลก ก่อตั้งเมื่อปี ค.ศ.1993 จนถึงปัจจุบันนี้ได้ติดตั้งอุปกรณ์ Storage ไปแล้วมากกว่า 3,000,000 ยูนิต โดยมีกลุ่มลูกค้าหลายกลุ่ม ทั้งกลุ่ม Enterprise, Education, Broadcast & Video Streaming ลูกค้ารายใหญ่ๆ เช่น BBC, Walt Disney, MTV, Warners Brother เป็นต้น ในประเทศไทย Storage Infortrend ก็อยู่เบื้องหลังงานถ่ายทอดสดการแข่งขันฟุตบอลโลกที่ผ่านมา รวมถึงตามมหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศก็ใช้ Storage จาก Infortrend

จุดเด่นของ Infortrend
สำหรับ Datacenter ขนาดใหญ่จะใช้ Storage แบบ Virtulization คือสามารถขยายระบบได้มากๆ และรองรับการใช้งานได้อย่างยืดหยุ่น ตัวอย่างเช่น Infortrend ESVA F60 Fibre Channel Storage หรือ Enterprise Scalable Virtualized Architecture Storage รุ่นล่าสุดจาก Infortrend มีสมรรถนะสูงด้วย Throughput กว่า 180,488.53 IOPS อีกทั้งยังมีความสามารถในการขยายต่อระบบทั้งแบบ Scale Up ร่วมกับ JBOD และ Scale Out เพื่อเพิ่มทั้งประสิทธิภาพด้วยการทำ Load Balancing และเพิ่มพื้นที่ของข้อมูลไปพร้อมๆ กัน โดย Infortrend ESVA F60 รองรับทั้งการทำงานร่วมกับ Hard Drive แบบ SAS, SATA และ Solid State Drive ได้สูงสุดถึง 1,344 Drives ในระบบเดียว โดยมี Host Interface ความเร็ว 8Gbps ด้วยกันถึง 8 Ports เปรียบเหมือนแถม San Switch มาให้ในตัว

Infortrend ยังคงเป็นผู้นำเทคโนโลยีด้าน Storage อย่างต่อเนื่องโดย Infortrend เป็นเจ้าแรกในตลาดในการใช้ Drive Connectivity แบบ SAS2 และใช้ 8Gbps Fibre Channel เป็นเจ้าแรกในตลาด รวมถึงประกาศสนับสนุน 3TB Enterprise Hard Drives ใน Enterprise SAN Storage เป็นเจ้าแรกอีกด้วย

การบริหารจัดการ server ด้วย IPMI 2.0

IPMI คืออะไร ?
IPMI ย่อมาจาก “Intelligent Platform Management Interface” มีไว้เพื่อบริหารจัดการ Server จากระยะไกล โดยปกติแล้วเราสามารถบริหารจัดการ Server โดยการต่อจอ และต่อคีย์บอร์ด ตรงกับเครื่องได้ แต่ก็ทำได้เมื่อเครื่องอยู่ใกล้ๆตัวเราเท่านั้น สมัยนี้พวก Server ต่างๆ นั้นวางอยู่ใน Data Center ซึ่งอยู่ห่างไกลจากตัวเรา บางทีเกิดเหตุการณ์ว่าตั้งค่า IP ผิด Disk เสีย Ram พัง เครื่องโดนโจมตี เข้าเครื่องไม่ได้ และต้องการลง OS ใหม่ ปกติผู้ดูแลก็ต้องเข้าไปที่หน้าเครื่องเพื่อแก้ไขเท่านั้น (Remote Desktop ไม่ได้) แต่ในกรณีที่เครื่อง Server มี IPMI ก็สามารถแก้ไขจากระยะไกลได้ ไม่จำเป็นต้องไปที่หน้าเครื่อง

ทำไม IPMI ถึงจำเป็น ?
ในปัจจุบันถ้าเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน เมื่อเครื่อง Server เกิดปัญหา จำเป็นต้องเข้าไปแก้ไขที่หน้าเครื่อง ถ้าเป็น Web Server ทั่วไปก็อาจไม่เกิดผลกระทบอะไร แต่ถ้าเป็นเครื่องที่สำคัญมากเช่น Email Server, Web service ต่างๆ หรือ เครื่อง Server สำคัญที่ไม่ต้องการให้มี Downtime เลย IPMI ก็มีประโยชน์อย่างมาก ระบบ IPMI ทำให้เราสามารถแก้ไขปัญหาต่างๆ เหล่านี้ได้ โดยการสั่ง reboot, หรือ remote KVM เข้าไปหน้าเครื่องเสมือนว่าเราอยู่หน้าเครื่องได้เลยทันที

จุดเด่นของ IPMI (ตัดมาบางส่วน)

  • Remote KVM อันนี้สุดยอดมาก เราสามารถ remote ดึงเอาหน้าจอ และ map คียบอร์ด มาไว้ที่เครื่องเราได้เลย
  • Power management เราสามารถสั่ง start/reboot/shutdown ได้ทันทีครับสามารถสั่งเปิดเครื่องได้แม้ขณะเครื่องปิด
  • Remote Device Mapping สามารถสั่ง mount ISO หรือ cd-rom หรือ usb ผ่านเครื่องเราไปยังเครื่องปลายทางได้ ด้วยฟังก์ชั่นนี้เราสามารถ install OS ใหม่ลงบนเครื่องได้ทันที
  • Hardware Health Monitor ตรวจดูสถานะปัจจุบันของ sensor ต่างๆ ในเครื่อง มีตั้งแต่อุณหภูมิของเครื่องและ cpu ความเร็วรอบพัดลม Voltage ของแหล่งจ่ายไฟในเครื่อง ไปจนถึง sensor ตรวจจับว่าเครื่องถูกเปิดหรือไม่
  • Event Log ตรวจเช็คดูสถานะย้อนหลังได้ โดยรวมๆแล้วที่สำคัญก็คือ สถานะของเครื่องที่ผิดปกติต่างๆ
  • OS Platform Independent ไม่ว่าเราจะลง OS อะไร IPMI ก็ยังสามารถใช้งานได้เสมอครับ เพราะเปรียบเสมือนเป็น hardware แยกจากกัน
  • Serial Port Mapping ถ้าหากว่า OS หรือ Application ที่เราใช้อยู่ support ผ่าน serial เราก็สามารถ mapping ออกมาเพื่อให้ใช้งานได้

IPMI 2.0 Architecture


*รูปจาก wikipedia

หา IPMI 2.0 ได้จากที่ไหน ?
โดยปกติแล้ว server ยี่ห้อดังๆ ก็จะมี IPMI มาให้เกือบหมดแล้ว เพียงแต่ว่าเราอาจจะไม่่รู้วิธีใช้ ให้ลองตรวจสอบ Server ที่มีอยู่ ถ้ากรณี Server ไม่มี IPMI ก็สามารถซื้อ module มาเสียบเพิ่มได้ ให้ลองดู mainboard feature ของรุ่นที่ซื้อมา ส่วนวิธีการเชื่อมต่อ IPMI จะต่อผ่าน network เสียบผ่านสายแลน โดยตัวมันเป็นเสมือนคอมพิวเตอร์เล็กๆ อีกเครื่องนึงที่อยู่บน mainboard เดียวกัน สามารถเข้าได้โดยไม่ต้องเปิดเครื่อง แต่ต้องจ่ายไฟให้มันอยู่

แนะนำผลิตภัณฑ์: Meraki, a Network that Simply Works.

เนื่องจากในสัปดาห์ก่อนทางเราได้นำเสนอเรื่อง “สำรวจความแรงสัญญาณ Wireless ผ่าน Cloud Application ด้วย Meraki WiFi Stumbler และ WiFi Mapper” ไว้ในหน้า Blog และได้รับเสียงตอบรับดีมาก วันนี้จึงขออนุญาตหยิบยกตัวผลิตภัณฑ์ Meraki มาเล่าให้ฟังกันโดยละเอียดขึ้นครับ Read more

สำรวจความแรงสัญญาณ Wireless ผ่าน Cloud Application ด้วย Meraki WiFi Stumbler และ WiFi Mapper

สำหรับ Engineer หลายๆ คนที่กำลังมีแผนติดตั้ง Wireless Access Point คงหนีไม่พ้นปัญหาสุดคลาสสิค คือการทำ Wireless Site Survey นั่นเอง ซึ่งซอฟต์แวร์ยอดนิยมอย่าง NetStumbler เองก็ไม่รองรับการติดตั้งใน Windows 7 หรือบางท่านก็อาจจะอยากใช้โทรศัพท์ Android ตัวเก่งมาลองทำ Site Survey เพื่อจะได้สะดวก ไม่ต้องหอบหิ้ว Notebook เดินทั่วอาคาร ทาง Throughwave Thailand จึงขอถือโอกาสนี้นำเสนอ Meraki WiFi Stumbler และ Meraki WiFi Mapper มาให้ลองใช้กันดูนะครับ Read more

Stratum-1 NTP Server มีความสำคัญอย่างไร

Time Server ไม่ใช่เป็นเพียงแค่ บริการเสริมในระบบ network เนื่องจากเวลาที่ถูกต้องแม่นยำมีความสำคัญอย่างมากต่อ ลำดับการเกิดเหตุการณ์ (event) ที่เกิดขึ้นในระบบ และเป็นพื้นฐานสำคัญที่ใช้ในการตรวจสอบความถูกต้องของ  log ไฟล์, audit log ที่ใช้ในการ แก้ไข และ ค้นหาสาเหตุของปัญหา นอกจากนั้น เวลาที่ถูกต้องแม่นยำ เป็นปัจจัยสำคัญสำหรับการทำงานของ ระบบฐานข้อมูล รวมถึง ระบบที่ทำงานแบบ distributed system  อื่นๆอีกด้วย ดังนั้น Server และ PC ภายในระบบ network จึงมีความจำเป็นที่จะต้องตั้งเวลาให้ตรงกัน โดย โปรโตคอลมาครฐานที่เป็นที่นิยมใช้คือ NTP (Network Time Protocol) Read more

เลือก Network Access Control (NAC) อย่างไรให้เหมาะสมกับองค์กร?

สำหรับเทคโนโลยี Network Access Control หรือที่เราเรียกกันสั้นๆ ว่า NAC นั้น เป็นเทคโนโลยีที่หลายๆ ท่านคงจะเคยได้ยินผ่านหูกันมาบ้างแล้ว หรือบางท่านอาจจะเคยนำเข้าไปทดสอบในระบบของตนเอง ปัญหาที่เกิดขึ้นในขณะนี้คือ “NAC ใช้งานจริงไม่ได้” อันเนื่องมาจากความช้าที่เกิดขึ้น, ควบคุมระบบเครือข่ายได้บ้างไม่ได้บ้าง, PoC ผ่านแต่ใช้งานจริงแล้วมีปัญหา คราวนี้เรามาลองเจาะลึกกันดู ว่าทำไม NAC ถึงมีปัญหา และจะเลือก NAC ให้เข้ากับองค์กรของเราอย่างไรดี Read more

Infortrend ESVA F60 ได้รับรางวัล 2010 Best Products and Services Award จาก Network Product Guide

Infortrend ESVA F60

13 กรกฎาคม 2010 – Network Products Guide ซึ่งเป็นผู้นำทางด้านการค้นคว้า, วิจัย และแนะนำการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ จาก Silicon Valley ได้มอบรางวัล Best Products and Services Award ให้แก่โซลูชันส์ Infortrend ESVA F60 Fibre Channel Storage ซึ่งเป็นโซลูชันส์สำหรับองค์กรที่มีความต้องการระบบ Storage ประสิทธิภาพสูง สามารถขยายระบบได้โดยไม่เกิด Downtime และมีความสามารถในการปกป้องการสูญหายของข้อมูลในแบบ Disaster Recovery Site (DR Site)

Infortrend ESVA F60 Fibre Channel Storage หรือ Enterprise Scalable Virtualized Architecture Storage เป็นผลิตภัณฑ์ล่าสุดจาก Infortrend ซึ่งมีสมรรถนะสูงด้วย Throughput กว่า 180,488.53 IOPS อีกทั้งยังมีความสามารถในการขยายต่อระบบทั้งแบบ Scale Up ร่วมกับ JBOD และ Scale Out เพื่อเพิ่มทั้งประสิทธิภาพด้วยการทำ Load Balancing และเพิ่มพื้นที่ของข้อมูลไปพร้อมๆ กัน โดย Infortrend ESVA F60 รองรับทั้งการทำงานร่วมกับ Hard Drive แบบ SAS, SATA และ Solid State Drive ได้สูงสุดถึง 1,344 Drives ในระบบเดียว โดยมี Host Interface ความเร็ว 8Gbps ด้วยกันถึง 8 Ports พร้อมทั้งความสามารถในการทำ Snapshot, Volume Copy/Mirror และ Remote Replication เพื่อรับรองความปลอดภัยของข้อมูลสำคัญสำหรับองค์กร

สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมของ Infortrend ESVA นั้น คุณสามารถติดตามอ่านได้ที่ ESVA.Infortrend.com หรือดูวิดีโอบรรยายการทำงานได้ที่Gartner: Infortrend

ที่มา: Infortrend Technology