ForeScout ถูกจัดให้เป็น Leader ของ Gartner Magic Quadrant ของ Network Access Control ปี 2013

ForeScout Technologies

 

ForeScout Technologies ผู้นำทางด้านเทคโนโลยีรักษาความปลอดภัยระบบเครือข่ายองค์กร ได้ถูกจัดให้เป็น Leader ทางด้านระบบ Network Access Control ใน Gartner Magic Quadrant 2013 ซึ่งนับเป็นการได้รับตำแหน่ง Leader นี้มาอย่างต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 แล้ว

 

gartner 2013 nac forescout

 

สำหรับการจัดอันดับ Gartner Magic Quadrant ในปี 2013 นี้ ทาง Gartner ได้มีการพูดถึงสองประเด็นหลักๆ ด้วยกัน โดยประเด็นแรกเป็นเรื่องของการที่ระบบ Network Access Control ควรจะควบคุมได้ไปถึงการทำ Mobile Device Management หรือ MDM ซึ่ง ForeScout เองนอกจากจะมีโซลูชั่น MDM ของตัวเองแล้ว ForeScout ยังสามารถทำการ Integrate เข้ากับระบบ MDM ของ 3rd Party เกือบทุกเจ้าที่อยู่ใน Leader ของ Magic Quadrant ได้อีกด้วย

 

สำหรับอีกประเด็นที่ถูกกล่าวถึงก็คือการ Integrate ระบบ NAC เข้ากับเทคโนโลยีรักษาความปลอดภัยใหม่ๆ ไม่ว่าจะเป็น Next-Generation Firewall (NGFW) หรือ Security Information and Event Management (SIEM) ซึ่ง ForeScout เองได้ตอบรับโจทย์ข้อนี้เป็นอย่างดีด้วย Feature ใหม่ล่าสุดภายใต้ชื่อ ControlFabric ที่มี API สำหรับเชื่อมต่อให้อุปกรณ์ 3rd Party ยี่ห้อใดๆ ก็สามารถทำงานร่วมกับ ForeScout ได้ และในทางกลับกัน ForeScout ก็มีความสามารถในการเขียนอ่าน SQL Database เพื่อดึงข้อมูลจากระบบงานใดๆ ก็ตามมาใช้ในเงื่อนไขหรือผลลัพธ์ของนโยบายรักษาความปลอดภัยได้เช่นกัน

 

สำหรับข้อดีของ ForeScout CounterACT ที่ทาง Gartner กล่าวถึงเป็นจุดแข็ง มีด้วยกัน ดังต่อไปนี้
  • สามารถ Integrate กับอุปกรณ์รักษาความปลอดภัยใดๆ ก็ได้ผ่านทาง ControlFabric
  • มีกลยุทธ์ทางด้านการรักษาความปลอดภัยอุปกรณ์พกพาที่เข้มแข็ง ไม่ว่าจะเป็น BYOD หรือ MDM
  • ติดตั้งง่าย ออกแบบนโยบายรักษาความปลอดภัยได้ยืดหยุ่น และมองเห็นระบบเครือข่ายได้ทุกส่วน
  • เป็นผู้ผลิตระบบ NAC ที่เคยติดตั้งระบบ NAC ที่ใหญ่ที่สุดหรือใหญ่เป็นอันดับต้นๆ ของโลกมาหลายราย

 

โดยนอกจากการเป็น Leader ใน Gartner Magic Quadrant 2013 แล้ว ในปี 2013 ที่ผ่านมานี้ ForeScout ก็ได้รับรางวัลอื่นๆ มาอีกมากมาย ได้แก่
  • Being named by Frost & Sullivan as the sole market contender in NAC
  • SC Magazine 5-star, “Best Buy” rating and Innovator Award
  • Government Security News Best Network Security
  • GovTek Best Mobile Solution
  • CRN Channel Chief Award
  • InfoSecurity Global Excellence Award
  • McAfee Partner of the Year

 

สำหรับผู้ที่สนใจอยากทดสอบอุปกรณ์ ForeScout CounterACT หรืออยากเป็น Partner ร่วมงานกัน ทางทีมงาน Throughwave Thailand ในฐานะของตัวแทนจำหน่าย ForeScout ยินดีเป็นอย่างยิ่ง โดยท่านสามารถติดต่อมาได้ที่ 02-210-0969 หรือส่งอีเมลล์มาที่ info@throughwave.co.th เพื่อสอบถามข้อมูลและรายละเอียดต่างๆ จากทีมงานวิศวกรโดยตรงได้ทันที

 

ที่มา: www.throughwave.co.th

การมาของเทคโนโลยีสตูดิโอเสมือน (3D Virtual Studio) ในประเทศไทย กับการใช้งานภายในองค์กร

สำหรับเทคโนโลยีหนึ่งที่น่าจับตามองที่สุดในปี 2014 นี้ ก็คงจะหนีไม่พ้นระบบสตูดิโอเสมือน หรือที่เรียกกันว่าระบบ 3D Virtual Studio นั่นเอง ในบทความนี้เราจะมาทำความรู้จักกัน ว่าระบบสตูดิโอเสมือนนี้ทำงานอย่างไร และในประเทศไทยตอนนี้มีการประยุกต์เทคโนโลยีนี้ไปใช้งานภายในองค์กรอย่างไรบ้าง

1. ระบบสตูดิโอเสมือน 3D Virtual Studio คืออะไร

ระบบสตูดิโอเสมือน คือ ระบบห้องส่งเสมือน ที่นำภาพฉาก 3 มิติมาใช้แทนฉากจริง เพื่อใช้ในการถ่ายทำรายการต่างๆ ได้อย่างทันสมัย สมจริง และประหยัดค่าใช้จ่ายในการปรับปรุงฉากหลัง รวมถึงยังสามารถใช้ถ่ายทำรายการหลากหลายรายการได้ในเวลาเดียวกันอีกด้วย
ในระบบสตูดิโอเสมือนนี้ พิธีกรผู้ดำเนินรายการจะถ่ายทำรายการอยู่ภายในห้องที่เป็นฉากสีเขียว เพื่อให้ระบบ 3D Virtual Studio สามารถตัดภาพของพิธีกรเพื่อไปซ้อนในฉาก 3 มิติได้ โดยเมื่อพิธีกรเคลื่อนที่ไปมาภายในฉากสีเขียวนี้ ระบบ 3D Virtual Studio ก็จะทำการจำลองให้เสมือนว่าพิธีกรกำลังเดินอยู่ในฉากจริงๆ พร้อมทั้งจำลองแสงเงาให้มีความสมจริงยิ่งขึ้นอีกด้วย

2. การนำระบบสตูดิโอเสมือนไปใช้งานภายในองค์กร

ระบบสตูดิโอเสมือนนี้มีหน่วยงานต่างๆ นำไปประยุกต์ใช้งานกันหลากหลาย ดังนี้

2.1 ช่องโทรทัศน์ และสตูดิโอถ่ายทำรายการ

เนื่องจากการประมูล Digital TV ที่กำลังจะมีขึ้นนี้ ทำให้ช่องโทรทัศน์ต่างๆ ต้องมองหาทางเลือกในการผลิตรายการที่ทั้งดึงดูดใจผู้ชมไปพร้อมๆ กับประหยัดต้นทุน เทคโนโลยี 3D Virtual Studio ซึ่งมีทั้งความทันสมัยและใช้งานร่วมกันได้หลายๆ รายการในการลงทุนเพียงครั้งเดียว จึงกลายเป็นตัวเลือกอันดับหนึ่งไปในตอนนี้ รวมถึงธุรกิจการเปิดห้องสตูดิโอเสมือนสำหรับให้เช่า ก็เป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่ได้รับการจับตามองเป็นอย่างมาก

2.2 มหาวิทยาลัย

สำหรับคณะนิเทศศาสตร์ในทุกๆ มหาวิทยาลัย ซึ่งมีความเกี่ยวพันกับการผลิตรายการโดยตรงนั้น เทคโนโลยี 3D Virtual Studio ถือเป็นเทคโนโลยีที่ขาดไม่ได้ในการใช้ประกอบการเรียนการสอน เพื่อให้นิสิตนักศึกษาได้มีความรู้ความเข้าใจในตัวเทคโนโลยี เพื่อตอบรับต่ออุตสาหกรรมบันเทิงที่มีการใช้งานเทคโนโลยีนี้มากขึ้นเรื่อยๆ
ในขณะเดียวกัน คณะมัลติมีเดียของมหาวิทยาลัยต่างๆ ก็ให้ความสนใจกับเทคโนโลยีสตูดิโอเสมือนนี้เช่นกัน เนื่องจากผลงาน 3 มิติต่างๆ ที่สร้างขึ้นมานั้น สามารถนำมาใช้งานในระบบสตูดิโอเสมือนได้ เป็นการเตรียมพร้อมเพื่อสร้างคนสำหรับตลาดการสร้างฉากเสมือนให้แก่รายการต่างๆ นั่นเอง
นอกจากนี้มหาวิทยาลัยที่มีการผลิตสื่อการเรียนการสอนทางไกล ก็สามารถนำเทคโนโลยี 3D Virtual Studio ไปใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจากสามารถนำสื่อประเภทอื่นๆ เช่น PowerPoint Presentation, Video Clip หรือแม้แต่ Website มาแสดงผลในฉากหลังเพื่อเสริมความเข้าใจในเนื้อหาต่างๆ ได้อย่างดียิ่งขึ้นอีกด้วย

2.3 องค์กรขนาดใหญ่

สำหรับองค์กรขนาดใหญ่ที่มีการผลิตสื่อเพื่อใช้ภายใน เช่น การฝึกอบรม, การส่งข่าวสาร การนำเทคโนโลยี 3D Virtual Studio มาใช้งานก็จะทำให้การสื่อสารเป็นไปได้อย่างสะดวกยิ่งขึ้น เนื่องจากสามารถนำสื่ออื่นๆ มาแสดงลงในเนื้อหาได้ทันที อีกทั้งยังสามารถลดความจำเจในการนำเสนอเรื่องราวต่างๆ ได้จากการเปลี่ยนฉากหลัง 3 มิติเสมือนได้ รวมถึงมีอายุการใช้งานของระบบที่ยาวนาน ทำให้การนำเทคโนโลยี 3D Virtual Studio มาใช้งานในระดับองค์กร เริ่มเป็นที่นิยมมากขึ้นเรื่อยๆ ในที่สุด

3. Radical Angle: ระบบสตูดิโอเสมือนล่าสุดสำหรับองค์กร

Radical Angle ผู้ผลิตระบบ 3D Virtual Studio ภายใต้ชื่อ RadStudio สามารถตอบสนองต่อความต้องการเหล่านี้ได้ด้วยเทคโนโลยี Next Generation Virtual Set เพื่อให้ผู้ผลิตรายการสามารถสร้างฉากต่างๆ ที่มีความน่าตื่นตาตื่นใจได้อย่างต่อเนื่อง ไปพร้อมๆ กันการลดต้นทุนในการสร้างฉากต่างๆ สำหรับถ่ายทำรายการ อีกทั้งยังเปิดโอกาสใหม่ๆ ในการสร้างสรรค์การโฆษณารูปแบบใหม่ๆ ในรายการต่างๆ ได้อีกด้วย ซึ่งทาง Throughwave Thailand ร่วมกับ Radical Angle สร้างห้องสตูดิโอเสมือน Virtual Studio ณ อาคารพญาไท (Phayathai Building) ถนนพญาไท กรุงเทพมหานคร สำหรับให้บริการทดลองใช้งาน

แผนที่สตูดิโอ Demo ของ Radical Angle ร่วมกับ Throughwave Thailand

สำหรับใครที่สนใจระบบ 3D Virtual Studio จาก Radical Angle สามารถติดต่อบริษัททรูเวฟ ประเทศไทย จำกัด ได้ที่ 02-210-0969 หรืออีเมลล์มาที่ info@throughwave.co.th เพื่อขอรับรายละเอียดเพิ่มเติมต่างๆ ได้ทันที
ที่มา: www.throughwave.co.th

แนะนำ Supermicro MicroCloud ระบบแม่ข่ายประสิทธิภาพสูง สำหรับ Cloud และ ISP โดยเฉพาะ

Supermicro MicroCloud เป็นหนึ่งในรุ่นที่ได้รับความสนใจสูงสุดนับตั้งแต่เปิดตัวมา โดย MicroCloud นี้จะเป็นระบบแม่ข่ายแบบ Blade ขนาดเล็ก โดยใช้พื้นที่สูงเพียง 3U เท่านั้น แต่สามารถบรรจุ Blade Server ได้ตั้งแต่ 8 – 24 เครื่อง ซึ่งด้วยปริมาณของ Server มากขนาดนี้ในพื้นที่เพียงเท่านี้ เป็นจุดเด่นสูงสุดที่ทำให้ MicroCloud ได้รับความนิยมนั่นเอง
สำหรับการแบ่งรุ่นของ Supermicro MicroCloud นั้น จะแบ่งตามรุ่น CPU และจำนวน Server ดังนี้

1. CPU Intel E5-2600 (8 Nodes)

 
เหมาะสำหรับระบบ Cloud ที่ต้องการ RAM จำนวนมาก โดยแต่ละ Node สามารถมี CPU ได้สูงสุด 1 Socket จำนวน 8 Cores หน่วยความจำสูงสุด 128GB และ Disk SATA 3.5″ Hot Swap จำนวน 2 ลูก

2. CPU Intel E3 (8/12/24 Nodes)

เหมาะสำหรับระบบ Cloud ที่เน้นการใช้งาน CPU เป็นหลักในราคาประหยัด โดยแต่ละ Node สามารถมี CPU ได้สูงสุด 1 Socket จำนวน 4 Cores หน่วยความจำสูงสุด 32GB และ Disk SATA 3.5″ จำนวน 2 ลูก หรือ 2.5″ จำนวน 4 ลูก

3. CPU AMD Opteron 3000 (12 Nodes)

เหมาะสำหรับระบบ Cloud ที่เน้นการใช้งาน CPU โดยไม่เน้นเรื่องหน่วยความจำ โดยแต่ละ Node สามารถมี CPU AMD ได้สูงสุด 1 Socket จำนวน 8 Cores หน่วยความจำสูงสุด 32GB และ Disk SATA 3.5″ จำนวน 2 ลูก หรือ 2.5″ จำนวน 4 ลูก
โดย Software ระบบ Cloud ที่แนะนำ จะเป็นระบบที่ใช้งาน Hypervisor ตระกูล Microsoft, KVM และ Xen เป็นหลัก เนื่องจาก 3 ตระกูลนี้สนับสนุนการใช้งานร่วมกับ Hardware ที่หลากหลายกว่า และมีค่าลิขสิทธิ์ที่เหมาะสมกับการใช้งานบน Server จำนวนมากเช่นนี้
ในขณะเดียวกัน ในเมืองไทยเองก็ยังมีการประยุกต์นำ MicroCloud ไปใช้ในระบบ Render Farm เนื่องจากมีค่าใช้จ่ายต่อ CPU ที่ประหยัด และยังใช้พื้นที่บนตู้ Rack น้อยอีกด้วย
สำหรับผู้ที่สนใจระบบ Supermicro MicroCloud สามารถติดต่อสอบถามได้ที่ info@throughwave.co.th หรือโทร 02-210-0969 เพื่อขอคำปรึกษาจากวิศวกรได้ทันที
ที่มา www.throughwave.co.th

แนะนำ Supermicro FatTwin ระบบ Server สำหรับงาน Cluster และ Render Farm โดยเฉพาะ

Supermicro เป็นผู้ผลิต Server เฉพาะทางสำหรับงานต่างๆ มากมาย และในวันนี้ทางทีมงานเราก็จะขอแนะนำ Supermicro FatTwin ซึ่งเป็นระบบ Server ที่ถูกออกแบบมาโดยเฉพาะสำหรับงาน Cluster สำหรับการประมวลผลประสิทธิภาพสูง และ Render Farm สำหรับการประมวลผลงานทางด้านกราฟฟิคโดยเฉพาะ

1. FatTwin หน้าตาเป็นอย่างไร?

FatTwin เป็น Blade Server ขนาดสูง 4U ติดตั้งบนตู้ Rack มาตรฐานขนาด 19 นิ้วได้ โดยด้านหน้าจะมี Server ภายในบรรจุอยู่ 4 เครื่อง หรือ 8 เครื่อง แล้วแต่รุ่น ส่วนด้านหลังของ FatTwin จะเป็นระบบระบายความร้อน (Cooling System) และระบบจ่ายพลังงาน (Power Supply) ซึ่งสามารถทำงานทดแทนกันได้ (Redundant) อย่างสมบูรณ์
จุดที่แตกต่างจาก Blade Server ทั่วๆ ไปคือ FatTwin จะไม่มี Management Module แบบศูนย์กลาง เนื่องจาก Server แต่ละเครื่องจะสามารถถูกบริหารจัดการได้ผ่านทาง IPMI ซึ่งรองรับทั้งการทำ Remote KVM และ Mount Virtual Media ผ่านทาง Network ได้อยู่แล้ว รวมถึงไม่มี Switch Module อีกด้วย ทำให้การลงทุนระบบ FatTwin ประหยัดค่าใช้จ่ายได้มากกว่าการลงทุนเป็น Blade Server นั่นเอง

2. จุดเด่นของ FatTwin

ในแง่ของ Hardware นั้น ระบบ FatTwin มี Server ให้เลือกหลากหลาย เหมาะกับงานเฉพาะทางแต่ละแบบ เช่น

2.1 Storage Node

เป็น Node ที่สามารถใส่ Hard Drive ได้เยอะเป็นพิเศษกว่า Server ทั่วๆ ไป เช่น ติดตั้ง Hard Drive ขนาด 3.5″ ได้ 12 – 14 ลูกต่อ 1U โดยสามารถเลือกได้ว่าจะใช้ Hardware RAID หรือใช้ Software RAID ตามประเภทของ Storage Software ที่จะใช้งาน เหมาะสำหรับระบบงานที่ต้องการจัดเก็บข้อมูลเป็นปริมาณมาก เช่น Storage, Video Streaming, Apache Hadoop

2.2 Front IO Node

เป็น Node ที่มี Interface ต่างๆ ทั้งหมดอยู่ด้านหน้า ไม่ว่าจะเป็น Network, IPMI, USB หรือ PCI-E เพื่อให้การเข้าไปดูแลรักษา หรือปรับแต่งการเชื่อมต่อสามารถทำได้โดยสะดวกจากด้านหน้าเครื่องทันที เหมาะสำหรับธุรกิจ Hosting และ ISP โดยเฉพาะ

2.3 GPU Node

เป็น Node ที่สามารถใส่การ์ด GPU และ MIC เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการประมวลผลต่างๆ ได้ โดยในแต่ละ Node สามารถใส่การ์ดเหล่านี้ได้มากถึง 3-4 การ์ดต่อพื้นที่เพียง 1U ซึ่งถือว่ามากกว่า Server ทั่วๆ ไปอยู่มาก
แต่ไม่ว่าจะเป็น Node ใดก็ตาม สิ่งที่ถือเป็นจุดเด่นที่สุดของ FatTwin เลยนั้นคือเรื่องของการประหยัดพลังงานนั่นเอง โดยจากการทดสอบการใช้งานเปรียบเทียบกับ Server รุ่นประหยัดไฟพิเศษของคู่แข่ง พบว่า Supermicro FatTwin สามารถช่วยประหยัดพลังงานได้กว่ารุ่นที่ดีที่สุดของคู่แข่งถึง 16% เลยทีเดียว

3. ใครเหมาะสมกับการเลือกใช้ FatTwin?

 
ผู้ที่เหมาะกับระบบ FatTwin คือผู้ที่ต้องการระบบที่มีคุณสมบัติดังนี้
3.1 ต้องการลงทุนใน Server เป็นจำนวนมาก โดยไม่ได้ต้องการ Switch หรือ Management แบบ Blade Server
3.2 ต้องการการใช้งาน CPU เพื่อประมวลผลแบบ 24×7
3.3 ต้องการระบบที่มีพื้นที่จัดเก็บข้อมูลเยอะเป็นพิเศษ
3.4 ต้องการประหยัดพื้นที่บนตู้ Rack
3.5 ต้องการระบบที่ประหยัดไฟฟ้า
ซึ่งสรุปจากข้างต้นนี้ เรียกได้ว่างาน High Performance Computing และงาน Render Farm ทั้งหมด เมื่อเปลี่ยนมาใช้ FatTwin แทนแล้ว จะช่วยลดต้นทุนในการจัดซื้อและดูแลรักษาไปได้มากทีเดียว
สำหรับผู้ที่สนใจ Supermicro FatTwin สามารถติดต่อสอบถามรายละเอียดได้ที่ info@throughwave.co.th หรือโทร 02-210-0969 ได้ทันที
ที่มา www.throughwave.co.th

ForeScout เปิดตัว Control Fabric ยกระดับความปลอดภัยระบบเครือข่ายองค์กร

ForeScout Technologies ผู้นำทางด้านเทคโนโลยีรักษาความปลอดภัยระบบเครือข่ายครบวงจร (Next Generation Network Access Control) ได้เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ ForeScout Control Fabric ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางการแลกเปลี่ยนข้อมูลทางด้านความปลอดภัยระหว่างระบบรักษาความปลอดภัยทั้งหมดในองค์กร เพื่อให้อุปกรณ์รักษาความปลอดภัยเครือข่ายทั้งหมดในองค์การทำงานร่วมกันเสมือนเป็นอุปกรณ์เดียว และยกระดับความปลอดภัยทางด้านการติดต่อสื่อสารให้เหนือยิ่งขึ้นกว่าก่อน
ด้วยการเปิดใช้งาน ForeScout Control Fabric นี้ อุปกรณ์ ForeScout CounterACT จะรับรู้ทุกเหตุการณ์ที่ถูกตรวจจับได้บนอุปกรณ์รักษาความปลอดภัยอื่นๆ ในระบบเครือข่าย ไม่ว่าจะเป็น Firewall, IPS, Endpoint Management, Data Leakage Prevention, Mobile Device Management, SIEM, Vulnerability Assessment และ Advanced Threat Detection โดยไม่จำกัดยี่ห้ออุปกรณ์ เนื่องจาก ForeScout Control Fabric จะมีชุดคำสั่ง SDK สำหรับให้นักพัฒนาสามารถทำการพัฒนาซอฟต์แวร์เพื่อเชื่อมต่อ ForeScout เข้ากับอุปกรณ์รักษาความปลอดภัยใดๆ ก็ได้นั่นเอง โดยทางทีมงาน ForeScout ได้ทำการพัฒนาซอฟต์แวร์สำเร็จรูปพร้อมใช้งานสำหรับเชื่อมต่อกับผู้ผลิตต่างๆ เอาไว้แล้วดังนี้
  • Mobile Device Management (MDM) – MobileIron, AirWatch, Citrix, Fiberlink และ SAP Afaria โดย ForeScout สามารถตรวจจับอุปกรณ์พกพาที่ยังไม่ได้ทำการติดตั้ง MDM ในเครือข่าย และทำการบังคับติดตั้งได้ รวมถึงสามารถติดตามข้อมูลการใช้งานอุปกรณ์พกพาที่ MDM ตรวจสอบได้ และนำมาใช้เป็นเงื่อนไขในการบังคับใช้นโยบายรักษาความปลอดภัยเครือข่ายได้ รวมถึงออกรายงานทางด้าน Inventory และความปลอดภัยร่วมกันได้
  • Advanced Threat Detection (ATD) – FireEye และ McAfee โดย ForeScout สามารถรับข้อมูลการตรวจจับเครื่องลูกข่ายที่มีความเสี่ยงในการติด Malware จากระบบ ATD และทำการยับยั้งการเข้าถึงระบบเครือข่ายของเครื่องลูกข่ายเหล่านั้นได้
  • Security Information and Event Management (SIEM) – HP ArcSight, IBM QRadar, McAfee Enterprise Security Manager, RSA Envision, Splunk Enterprise และ Tibco LogLogic โดย ForeScout สามารถรับผลการวิเคราะห์ข้อมูลทางด้านความปลอดภัย (Correlation) จากระบบ SIEM เพื่อนำมาเป็นเงื่อนไขในการยับยั้งการเข้าถึงระบบเครือข่ายจาก IP Address ต่างๆ ที่ถูกตรวจพบว่ามีปัญหาได้
  • Endpoint Protection – McAfee ePolicy Orchestrator (ePO) โดย ForeScout สามารถตรวจสอบหาเครื่องลูกข่ายที่ยังไม่ถูกติดตั้ง Agent จาก McAfee ePO และแจ้งระบบ McAfee ePO ให้ทำการบังคับติดตั้ง Agent Software บนเครื่องลูกข่ายเหล่านั้น และนำข้อมูลของเครื่องลูกข่ายเหล่านั้นที่ถูกตรวจพบโดย McAfee ePO มาใช้เป็นเงื่อนไขในการกำหนดสิทธิ์การเข้าถึงระบบเครือข่ายได้
  • Vulnerability Assessment (VA) – Tenable Nessus โดย ForeScout จะทำการประสานให้มีการสแกนตรวจสอบช่องโหว่ของอุปกรณ์ต่างๆ ที่เข้ามาใช้งานระบบเครือข่ายทันที และรับผลการสแกนนัั้นมาใช้เป็นเงื่อนไขของการกำหนดสิทธิ์การเข้าถึงระบบเครือข่ายได้
  • SQL – ForeScout สามารถทำการเชื่อมต่อกับระบบ Database ผ่านทางคำสั่ง SQL เพื่ออ่านค่าต่างๆ มาใช้เป็นเงื่อนไขในการกำหนดสิทธิ์การเข้าถึงระบบเครือข่าย พร้อมเขียนค่าต่างๆ ลงไปยัง Database เพื่อบันทึกค่าต่างๆ ได้อย่างอิสระ
สำหรับผู้ที่สนใจใช้งานความสามารถ Control Fabric จาก ForeScout สามารถติดต่อได้ที่บริษัท ทรูเวฟ ประเทศไทย จำกัด ทาง info@throughwave.co.th หรือโทร 02-210-0969 ได้ทันที
ที่มา: www.throughwave.co.th

บทสัมภาษณ์การใช้งาน MERAKI จาก LIVE Incorporation Public Company Limited

บริษัท ทรูเวฟ (ประเทศไทย) จำกัด ร่วมกับ บริษัท รามอินทรา อินเตอร์เทรด จำกัด มีโอกาสได้ไปสัมภาษณ์ คุณฉัตรชัย ศุภนาม ผู้จัดการอาวุโสฝ่ายเทคโนโลยีสารสนเทศ บริษัท ไลฟ์ อินคอร์เปอร์เรชั่น จำกัด มหาชน (LIVE Incorporation Public Company Limited) เกี่ยวกับความรู้สึกหลังจากใช้งานผลิตภัณฑ์ MERAKI : Cloud-Controlled Wireless Access Point Read more

การสร้างระบบห้องสตูดิโอเสมือนให้มีความสมจริง

ทุกวันนี้ระบบ Digital TV และ TV ออนไลน์มีแนวโน้มเติบโตที่สูงมาก เทคโนโลยีต่างๆ จึงได้ถูกนำมาใช้งานเพื่อเพิ่มคุณภาพในการถ่ายทอดรายการ ซึ่งเทคโนโลยีหนึ่งที่ได้รับความนิยมสูงสุดในเวลานี้ก็คือเทคโนโลยีระบบสตูดิโอเสมือนนั่นเอง (Virtual Studio)
ระบบสตูดิโอเสมือน (Virtual Studio) จะทำการจำลองฉากถ่ายทำรายการเสมือนขึ้นมาสำหรับรายการต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นห้องส่งสำหรับรายการข่าวหรือรายการอื่นๆ เพื่อให้ผู้กำกับสามารถปรับแต่งและแก้ไขฉากสำหรับแต่ละรายการได้อย่างอิสระตามจินตนาการ อีกทั้งยังช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายและเวลาในการปรับแต่งฉากสำหรับรายการเหล่านั้นอีกด้วย เทคโนโลยีสตูดิโอเสมือนนี้จึงได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก

จะสร้างห้องส่งเสมือนที่มีความสมจริงได้อย่างไร?

ในปัจจุบัน คำถามว่าเราควรจะเลือกใช้เทคโนโลยีสตูดิโอเสมือนจะเป็นคำตอบที่ถูกต้องหรือไม่นั้น สิ่งแรกที่ผู้กำกับมักจะคำนึงถึงก่อนก็คือความสมจริงของระบบสตูดิโอเสมือนนั่นเอง เนื่องจากเทคโนโลยีของการซ้อนฉากหลังลงไปแทนที่ฉากเขียว หรือเรียกว่าการทำ Chroma Key ในอดีตที่ผ่านมานั้น มักจะไม่สมจริง และส่งผลให้ภาพที่ออกมานั้นเหมือนกับว่าพิธีกรลอยออกมาจากฉากหลัง 3 มิติเสมือนนั่นเอง
RadStudio ได้ทำการเสริมความสมจริงเข้าไปในการใช้งานฉากหลัง 3 มิติเสมือนนี้ ด้วยการใช้เทคโนโลยีเงาเสมือน เพื่อสร้างเงาให้กับพิธีกรและวัตถุต่างๆ ในฉาก ไม่ว่าจะเป็นเงาบนพื้นด้าน หรือเงาสะท้อนบนพื้นใส ส่งผลให้ผลลัพธ์ของระบบสตูดิโอเสมือนที่ออกมานั้นดูมีมิติสมจริงยิ่งขึ้นนั่นเอง

เงานั้นสำคัญอย่างไร?

เงาเป็นสิ่งที่เชื่อมวัตถุต่างๆ เข้ากับฉากเสมือน 3 มิติ ทำให้ผู้ชมสามารถรับรู้มิติของสิ่งต่างๆ ในฉากเสมือนได้อย่างรวดเร็วและสมจริงยิ่งขึ้น รวมถึงยังทำให้พิธีกรและวัตถุเสมือน 3 มิติดูเหมือนว่าอยู่ในสถานที่เดียวกันจริงๆ อีกทั้งเมื่อเงามีการเปลี่ยนแปลงตามการขยับตัวของพิธีกรหรือวัตถุเสมือนเหล่านั้นได้ ภาพผลลัพธ์จากระบบห้องสตูดิโอเสมือนก็จะยิ่งดูมีความสมจริงยิ่งขึ้นไปอีก
RadStudio มีเอฟเฟ็คต์เงาที่ยืดหยุ่นและใช้งานง่าย โดยคุณสามารถใส่เงาให้กับสิ่งต่างๆ ในฉากเสมือน 3 มิติ และเลือกมุมของเงา และความเข้มของเงาได้อย่างอิสระผ่านทางซอฟต์แวร์บริหารจัดการห้องสตูดิโอเสมือนได้ทันที
สำหรับผู้ที่สนใจอยากทดลองใช้งานระบบสตูดิโอเสมือน RadStudio จาก Radical Angle ก็สามารถติดต่อบริษัท Throughwave Thailand ที่เบอร์ 02-210-0969 หรืออีเมลล์ info@throughwave.co.th เพื่อขอเข้าทดลองใช้งานได้ที่ห้อง Demo Studio ของเราบริเวณรถไฟฟ้าอนุสาวรีย์ได้ทันที

Throughwave พร้อมให้บริการ Demo ห้องสตูดิโอเสมือนจาก Radical Angle แล้ว

Throughwave Thailand ร่วมกับ Radical Angle สร้างห้องสตูดิโอเสมือน Virtual Studio ณ อาคารพญาไท (Phayathai Building) ถนนพญาไท กรุงเทพมหานคร สำหรับให้บริการทดลองใช้งานสำหรับผู้ที่สนใจนำเทคโนโลยี Virtual Studio จาก Radical Angle เข้าไปใช้ในงานถ่ายทำรายการต่างๆ หรือใช้ในการเรียนการสอนภายในสถานศึกษาเช่น มหาวิทยาลัย โดยผู้สนใจสามารถติดต่อได้ที่ 02-210-0969 หรือส่งอีเมลล์มาที่ info@throughwave.co.th ได้ทันที

แผนที่สตูดิโอ Demo ของ Radical Angle ร่วมกับ Throughwave Thailand

สำหรับสตูดิโอเสมือนชุดนี้ จะประกอบไปด้วย

  • ระบบประมวลผลสตูดิโอเสมือน RadStudio จำนวน 1 ระบบ
  • ฉากหลังสีเขียวสำหรับใช้งานร่วมกับสตูดิโอเสมือน
  • กล้องวิดีโอ จำนวน 2 ชุด
  • ระบบควบคุมห้องตัดต่อสตูดิโอ
  • ระบบบันทึกภาพ

โดยระบบทดสอบนี้จะแสดงความสามารถในการทำสตูดิโอเสมือนจากภาพสามมิติ (3D Model), การควบคุมกล้องเสมือน, การสลับมุมกล้องจากกล้องจริง (Camera Tracking) และการตัดต่อเบื้องต้นที่จำเป็นสำหรับการถ่ายทำรายการ

 

ที่มา: https://www.throughwave.co.th

Radical Angle ออกงาน WUNCA ครั้งที่ 27 ที่ม.มหิดล วิทยาเขตกาญจนบุรี

เมื่อวันที่ 15-17 กรกฎาคม 2556 ที่ผ่านมา บริษัท ทรูเวฟ (ประเทศไทย) จำกัด ได้นำ Radical Angle ซึ่งเป็นระบบ Virtual Broadcast Studio Platform แบบครบวงจร ไปแสดงในงาน “การดำเนินกิจกรรมบนเครือข่ายสารสนเทศเพื่อพัฒนาการศึกษา ครั้งที่ 27” (27th WUNCA) ที่มหาวิทยาลัยมหิดล วิทยาเขตกาญจนบุรี

ในงาน บ.ทรูเวฟฯ ได้นำ RadStudio แบบ Mobile พร้อมฉากเขียว ChromaScreen ซึ่งผู้เข้าชมงานสามารถทดลองเข้ามาในฉาก และรับชมผลลัพธ์ได้แบบ Real Time โดยมีผู้ให้ความสนใจเป็นจำนวนมาก

เกี่ยวกับ RadStudio จาก Radical Angle
RadStudio เป็นระบบ Virtual Studio จาก Radical Angle สำหรับระบบงาน Digital Video แบบเครือข่ายโทรทัศน์ชั้นนำโดยใช้เทคโนโลยีประมวลผลภาพเสมือนจาก Robotics Vision Research เพื่อสร้างฉากหลังจำลองสำหรับการถ่ายทำรายการต่างๆให้มีรูปแบบและสีสันมาก ขี้นโดยมีจุดเด่นหลักดังนี้

  • ด้วยเทคนิค Robotic Vision ส่งผลให้สามารถทำ 3D Tracking Camera ได้แบบสมบูรณ์ ผ่านฉากเขียว ChromaScreen ไม่ต้องติดตั้ง Hardware Sensors ที่ฉาก
  • ได้ภาพสมจริง มี Automatic Shadow and Reflection แบบ Realtime
  • Open Platform สามารถนำเข้าฉาก 3D Standard ได้ทั้งหมด เช่น Maya, 3D Max, Lightwave ฯลฯ
  • ติดตั้ง และใช้งานง่าย ลูกค้าสามารถใช้งานจริงได้เอง ภายใน 1 เดือน

สำหรับผู้ที่สนใจสามารถติดต่อ บ.ทรูเวฟฯ ได้ที่ 02-210-0969

หรืออ่านรายละเอียดเพิ่มเตืมได้ที่ Radical Angle

การสร้างห้องถ่ายทำรายการเสมือนด้วยเทคโนโลยี 3D Virtual Studio จาก Radical Angle

ทุกวันนี้ธุรกิจการแพร่ภาพออกอากาศ (Broadcasting) ถือเป็นธุรกิจที่ได้รับความนิยมสูง เนื่องจากแนวโน้มของการนำเทคโนโลยี Digital TV และ Online Channel เข้ามาใช้ได้มีการเติบโตอย่างรวดเร็วและเป็นที่แพร่หลาย ทำให้ปัจจุบันการดำเนินธุรกิจผลิตรายการต่างๆ (Content Provider) เป็นที่นิยมไปด้วยเพื่อตอบสนองความต้องการที่เพิ่มขึ้น การแข่งขันทางด้านการผลิตรายการต่างๆ ให้มีความน่าสนใจและแปลกใหม่จึงเป็นไปอย่างดุเดือด  และส่งผลให้เกิดความพยายามในการสร้างสรรค์รายการในรูปแบบใหม่ๆ และลดต้นทุนการผลิตรายการต่างๆ ลงอย่างต่อเนื่อง เทคโนโลยี Virtual Set หรือ Virtual Studio ที่ทำให้เจ้าของรายการสามารถรังสรรค์ฉากของรายการต่างๆ ออกมาได้จากจินตนาการและมีต้นทุนต่ำจึงได้กลายเป็นทางเลือกหลักสำหรับการถ่ายทำรายการในยุคปัจจุบัน

Radical Angle ผู้ผลิตระบบ 3D Virtual Studio ภายใต้ชื่อ RadStudio สามารถตอบสนองต่อความต้องการเหล่านี้ได้ด้วยเทคโนโลยี Next Generation Virtual Set เพื่อให้ผู้ผลิตรายการสามารถสร้างฉากต่างๆ ที่มีความน่าตื่นตาตื่นใจได้อย่างต่อเนื่อง ไปพร้อมๆ กันการลดต้นทุนในการสร้างฉากต่างๆ สำหรับถ่ายทำรายการ อีกทั้งยังเปิดโอกาสใหม่ๆ ในการสร้างสรรค์การโฆษณารูปแบบใหม่ๆ ในรายการต่างๆ ได้อีกด้วย

 

0) ปัญหาของการถ่ายทำรายการแบบเดิม

ปัจจุบันการถ่ายทำรายการแบบเดิมที่มีการสร้างฉากจริงสำหรับการถ่ายทำนั้น นอกจากจะมีต้นทุนในการสร้างและมีค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษาที่สูงแล้ว ยังมีข้อจำกัดทางด้านการแสดงข้อมูลต่างๆ ให้ทางผู้ชมเข้าใจง่าย ไม่ว่าจะเป็นกราฟ หรือ คลิปวิดีโอ อีกทั้งยังไม่สามารถปรับแต่งฉากให้เข้ากับเหตุการณ์ปัจจุบัน หรือมีความหวือหวาเพื่อดึงดูดผู้ชมได้บ่อยๆ อีกด้วย  ทำให้ข้อจำกัดของการถ่ายทำรายการต่างๆ เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา เนื่องจากมีความยืดหยุ่นต่ำ และมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นเสมอๆ

 

1) Radical Angle คือใคร?

Radical Angle เป็นผู้ผลิตระบบ 3D Virtual Set Solution จากประเทศสหรัฐอเมริกาภายใต้ชื่อผลิตภัณฑ์ Rad Studio ซึ่งเป็นระบบสตูดิโอเสมือนแบบครบวงจรสำหรับการถ่ายทำรายการในรูปแบบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการถ่ายทอดสด (Live Broadcast) และการตัดต่อย้อนหลัง (Post Production) โดยใช้เทคโนโลยี Chroma Key เพื่อให้เราสามารถสร้างสรรค์ฉากหลังจากซอฟต์แวร์สามมิติต่างๆ ได้อย่างอิสระ ส่งผลให้สตูดิโอเสมือนเพียงห้องเดียวสามารถใช้ถ่ายทำรายการต่างๆ ได้หลากหลายรายการ หรือมีหลากหลายฉากภายในรายการเดียวกันได้อย่างง่ายดาย โดยการนำเทคโนโลยี Visual Robotic Technology และเทคโนโลยี 3D Virtual Set ที่พัฒนาขึ้นเองมาประยุกต์ใช้ ทำให้ RadStudio มีความสมจริงสูง มีสามารถที่หลากหลาย ยืดหยุ่น และประหยัดค่าใช้จ่ายกว่าระบบ Virtual Set อื่นๆ เป็นอย่างมาก

สำหรับในประเทศไทย บริษัททรูเวฟ ประเทศไทย จำกัด (Throughwave Thailand) ได้เป็นตัวแทนจำหน่าย Radical Angle ในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว โดยทางบริษัททรูเวฟ ประเทศไทย จำกัดจะเป็นผู้ให้บริการและสนับสนุนทางเทคนิค รวมถึงจัดเตรียมระบบทดสอบสำหรับลูกค้าทุกรายที่ต้องการทดลองใช้ระบบงานก่อนทำการตัดสินใจซื้อด้วย

 

2) 3D Virtual Set Technology

เทคโนโลยี 3D Virtual Set คือเทคโนโลยีในการสร้างฉากสำหรับถ่ายทำรายการแบบเสมือน โดยใช้ฉาก 3 มิติซ้อนเข้าไปเป็นฉากหลังให้กับผู้ดำเนินรายการ ทำให้ผู้ผลิตรายการสามารถสร้างฉากใหม่ๆ หรือปรับแต่งฉากที่มีอยู่ได้ทันที รวมถึงมีกล้องถ่ายทำเสมือน (Virtual Camera) สำหรับใช้ในการ Pan, Zoom, Tilt เพื่อให้ถ่ายทำได้จากมุมมองที่หลากหลาย โดยประเด็นที่ควรพิจารณาสำหรับการเลือกใช้งานระบบ 3D Virtual Set จึงมีดังนี้

 

2.1) ความสมจริง

ระบบ 3D Virtual Set ที่ดีควรจะต้องมีความสมจริงที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพื่อให้ผู้ชมทางบ้านไม่รู้สึกติดขัดในรายละเอียดต่างๆ ของฉาก ไม่ว่าจะเป็นการแสดงผลพิธีกรตามมุมกล้องต่างๆ, การปรับแสง, เงา, เงาสะท้อน, การแสดงฉากตามมุมกล้อง, การเคลื่อนไหวของกล้อง, ความกลมกลืนของพิธีกรและฉากหลัง และอื่นๆ อีกมากมาย

 

2.2) ความยืดหยุ่นในการใช้งาน

ระบบ 3D Virtual Set ควรจะต้องรองรับการใช้งานสำหรับการถ่ายทำรายการได้หลากหลายรูปแบบ และปรับเปลี่ยนมุมกล้องสำหรับแต่ละรายการได้อย่างหลากหลาย ดังนั้นความสามารถในการรองรับฉาก 3D ที่สร้างจากซอฟต์แวร์มาตรฐาน เช่น 3D Max, Maya หรือ Lightwave ได้จึงเป็นพื้นฐานสำคัญในการลดต้นทุนการผลิตฉากสำหรับแต่ละรายการ รวมถึงการที่สามารถปรับแต่งฉากได้ในขณะถ่ายทำก็เป็นอีกประเด็นหนึ่งที่จะทำให้เกิดความคล่องตัวในการใช้งานของผู้กำกับ และการสนับสนุนมุมกล้องหรือการเคลื่อนที่กล้องที่หลากหลายก็เป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้รายการมีสีสันและไม่น่าเบื่อ

นอกจากนี้การแสดงผลที่ตื่นตาตื่นใจมากกว่าการสร้างฉากจริง ก็ถือเป็นอีกปัจจัยที่ทำให้ 3D Virtual Set เป็นที่นิยม ไม่ว่าจะเป็นการแสดงผลกราฟแบบ 3D, การจำลองจอแสดงภาพขนาดใหญ่ในฉากพร้อมฉายภาพจากคลิปวิดีโอต่างๆ หรือแม้แต่การวางตัวแมสค็อตต่างๆ ให้เคลื่อนไหวอยู่ในรายการ ก็สามารถสร้างสีสันในรายการได้เป็นอย่างดี

 

2.3) ราคา

ระบบ 3D Virtual Set ควรจะมีราคาที่เหมาะสมและจับต้องได้ รวมถึงมีความคุ้มค่าในระยะยาวมากกกว่าการสร้างและดูแลรักษาฉากจริง เพื่อให้ระบบ 3D Virtual Set ช่วยลดต้นทุนในการถ่ายทำรายการต่างๆ และสร้างผลกำไรที่มากขึ้นให้แก่องค์กร

 

ทีมงาน Radical Angle ได้มีประสบการณ์ทางด้านระบบ 3D Virtual Set มาเป็นเวลานาน และเข้าใจในประเด็นต่างๆ เหล่านี้เป็นอย่างดี ดังนั้นระบบ 3D Virtual Set ภายในชื่อของ RadStudio จึงเป็นโซลูชันที่ตอบสนองโจทย์ทั้งสามประการนี้ได้อย่างครบถ้วนสมบูรณ์ที่สุด

 

3.) RadStudio Solution

ระบบ RadStudio ซึ่งเป็น 3D Virtual Set จาก Radical Angle นี้ มีความสามารถที่หลากหลาย  และเหมาะสมต่อการนำไปใช้งานทั้งสำหรับห้องถ่ายทำรายการเสมือน, ห้องข่าวเสมือน รวมถึงห้องส่งเสมือนสำหรับการเรียนการสอนในมหาวิทยาลัย โดย RadStudio มีความโดดเด่นทางด้านการใช้งานจริงดังนี้

 

3.1) สมจริงด้วยเทคโนโลยี 3D Tracking

RadStudio มีระบบ 3D Tracking สำหรับใช้ติดตามตำแหน่งของพิธีกรหรือผู้สื่อข่าวในห้องถ่ายทำรายการเสมือน ดังนั้นเมื่อพิธีกรหรือผู้สื่อข่าวต้องมีการเคลื่อนที่ภายในฉาก หรือมีการซูมด้วยกล้องวิดีโอเพื่อเก็บอารมณ์ต่างๆ ภาพที่แสดงออกมาจะมีความสมจริง โดยระบบ RadStudio จะทำการคำนวนตำแหน่งของผู้ดำเนินรายการเพื่อประมวลผลว่าควรจะแสดงภาพของผู้ดำเนินรายการบนตำแหน่งไหนของฉากในมุมกล้องต่างๆ ให้เหมือนผู้ดำเนินรายการมีการเคลื่อนไหวจริงๆ ต่างจากระบบ Virtual Studio รายอื่นๆ ที่ไม่มีการทำ Tracking และทำให้สูญเสียความหลากหลายในการถ่ายทำรายการไป ทั้งการเคลื่อนที่ของพิธีกร และการประยุกต์ใช้งานมุมกล้องจริงให้มีความคมชัดยิ่งขึ้น

 

3.2) ประหยัดค่าใช้จ่ายด้วยเทคโนโลยี 3D Tracking แบบใหม่

Radical Angle มีเทคโนโลยีในการทำ 3D Tracking ในรูปแบบเฉพาะของตัวเอง ทำให้ไม่จำเป็นต้องมีการติดตั้ง Hardware ตรวจจับต่างๆ มากมายในห้องส่ง แต่ใช้การประมวลผลจาก Computer ด้วยเทคโนโลยี Robotic Vision แบบเดียวกับที่มีในหุ่นยนต์แทน ทำให้การติดตั้งระบบ 3D Virtual Studio เป็นไปได้อย่างง่ายดาย ปรับแต่งได้อย่างรวดเร็ว อีกทั้งยังดูแลรักษาง่าย มีค่าใช้จ่ายที่ต่ำกว่าเทคโนโลยี 3D Tracking แบบเก่าๆ เป็นอย่างมาก

 

3.3) ใส่ใจในรายละเอียดเพื่อเพิ่มความสมจริง

RadStudio มีฟังก์ชั่นต่างๆ สำหรับปรับแต่งให้รายการเสมือนมีความสมจริงเพิ่มขึ้นอย่างมากมาย ไม่ว่าจะเป็นระบบปรับแต่งความสว่าง/มืด, ระบบปรับแต่งแสง/เงา, ระบบปรับแต่งแสงสะท้อน, ระบบปรับแต่งมุมกล้องเสมือนอัตโนมัติ และอื่นๆ อีกมากมาย เพื่อให้รายการเสมือนมีความสมจริง และช่างกล้องสามารถทำงานได้สะดวกยิ่งขึ้น รวมถึงให้ผู้กำกับรายการสามารถปรับแต่งทุกรายละเอียดได้ทันทีจากหน้าจอถ่ายทำ

 

3.4) คุ้มค่าด้วยความหลากหลาย

ห้องส่งเสมือน 3D Virtual Studio เพียงห้องเดียวของ RadStudio นี้ สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้กับรายการหลากหลายรายการภายในห้องเดียว รวมถึงสามารถรองรับฉากหลายๆ ฉากสำหรับแต่ละรายการได้อย่างครบถ้วน ทำให้การใช้งานห้องส่งเป็นไปได้อย่างคุ้มค่ายิ่งขึ้น ประหยัดค่าใช้จ่ายยิ่งกว่าการทำห้องถ่ายทำรายการจริงเป็นอย่างมาก อีกทั้งยังเปิดโอกาสให้สามารถเปิดระบบให้เช่าใช้งาน เพื่อรับรายได้เพิ่มเติมในยามที่ไม่ได้ใช้ห้องในการถ่ายทำรายการได้อีกด้วย

 

3.5) มีบริการให้คำปรึกษาและช่วยเหลือด้านการใช้ระบบ 3D Virtual Studio

นอกเหนือจากความโดดเด่นของตัวผลิตภัณฑ์แล้ว ทางทรูเวฟและ Radical Angle ยังมีบริการร่วมในการให้คำปรึกษาสำหรับผู้ที่จะติดตั้งใช้งานระบบ 3D Virtual Studio ให้สำเร็จลุล่วงอีกด้วย โดยทางทีมงานสามารถให้คำปรึกษาสำหรับการออกแบบฉาก, การเพิ่มเติมฟีเจอร์ต่างๆ ให้เหมาะสมกับรูปแบบของรายการ รวมถึงการสนับสนุนและอบรมฝึกสอนการใช้งานระบบ 3D Virtual Studio ให้ผู้กำกับและช่างกล้องสามารถใช้งานได้อย่างคล่องแคล่ว ทั้งตอนทดสอบและตอนใช้งานจริงใน Production ทันที รวมถึงหากในอนาคตอยากมีการนำห้องส่งเสมือนนี้ไปใช้งานเพิ่มเติม ทางทีมงานก็พร้อมจะช่วยเหลือต่อเนื่องไปเช่นกัน

 

3.6) มีห้อง 3D Virtual Studio ตัวอย่างให้ทดลองใช้งานก่อนตัดสินใจ

ทางบริษัททรูเวฟ ประเทศไทย จำกัด ร่วมกับ Radical Angle ได้ทำการสร้างห้องส่งเสมือน 3D Virtual Studio ขึ้นมาในกรุงเทพฯ ประเทศไทย เพื่อให้ผู้ที่สนใจในเทคโนโลยี 3D Virtual Studio นี้ได้มาทดลองใช้งานจริง, ทดสอบกับกล้องที่มีอยู่เดิม และได้เห็นผลลัพธ์กันจริงๆ ก่อนตัดสินใจจัดซื้อได้ เพื่อให้การตัดสินใจเป็นไปได้อย่างดีที่สุด และเป็นประโยชน์ต่อลูกค้าอย่างสูงสุด โดยถ้าหากหน่วยงานใดสนใจ ก็สามารถติดต่อเข้ามานัดชมห้อง 3D Virtual Studio ได้ทันที

 

สำหรับใครที่สนใจระบบ 3D Virtual Studio จาก Radical Angle สามารถติดต่อบริษัททรูเวฟ ประเทศไทย จำกัด ได้ที่ 02-210-0969 หรืออีเมลล์มาที่ info@throughwave.co.th เพื่อขอรับรายละเอียดเพิ่มเติมต่างๆ ได้ทันที

 

ที่มา: www.throughwave.co.th

 

ForeScout จับมือผู้ผลิต Mobile Device Management สี่ราย ควบคุมความปลอดภัยทั้งภายในและภายนอกองค์กร

ForeScout Technologies ผู้ผลิตระบบ Real-time Network Security Platform และ Network Access Control (NAC) ชั้นนำ ได้ประกาศสนับสนุนการ Integrate ระบบ ForeScout CounterACT เข้ากับผู้ผลิตระบบ Mobile Device Management หรือ MDM ชั้นนำ 4 ราย ได้แก่ AirWatch, Citrix XenMobile MDM, Fiberlink MaaS360 และ MobileIron เพื่อช่วยรักษาความปลอดภัยของระบบเครือข่ายจากอุปกรณ์พกพาต่างๆ เช่น Smart Phone และ Tablet รวมถึงยกระดับความปลอดภัยโดยการช่วยติดตั้ง Mobile Agent Software จากผู้ผลิตดังกล่าวลงไปยังอุปกรณ์ Smart Phone และ Tablet โดยอัตโนมัติ เพื่อตรวจสอบความปลอดภัยของอุปกรณ์ และอนุญาตสิทธิ์การเข้าถึงระบบเครือข่ายขององค์กรตามนโยบายการรักษาความปลอดภัยได้ทันที

 

 

การประกาศเพิ่มเติมความสามารถในการเชื่อมต่อระบบเข้ากับผู้ผลิต Mobile Device Management ชั้นนำเหล่านี้ ทำให้ ForeScout สามารถช่วยรักษาความปลอดภัยขั้นต้นให้แก่ระบบเครือข่ายได้เป็นอย่างดี อีกทั้งยังจำแนกประเภทอุปกรณ์ต่างๆ  ออกจากกันได้ด้วยความสามารถในการทำ BYOD และบังคับใช้นโยบายรักษาความปลอดภัยกับอุปกรณ์ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น PC, Notebook, Printer, Networking Device, IP Phone, Smart Phone และ Tablet ได้พร้อมๆ กัน และทำให้การนำ MDM มาใช้งานเป็นไปได้จริงในทางปฏิบัติ เนื่องจากผู้ดูแลระบบไม่ต้องทำการติดตั้งซอฟต์แวร์ MDM ลงบนอุปกรณ์พกพาต่างๆ ในเครือข่ายด้วยตนเอง แต่มี ForeScout ช่วยจัดการบังคับการติดตั้งให้ และควบคุมอุปกรณ์พกพาเหล่านั้นได้ทั้งในระดับของ Network และ Application ไปพร้อมๆ กัน ทั้งภายในและภายนอกองค์กร

 

นอกจากนี้องค์กรที่ไม่ต้องการลงทุนถึงระดับการติดตั้ง MDM Agent ทาง ForeScout เองก็ยังมี ForeScout Mobile สำหรับใช้ตรวจสอบและควบคุมอุปกรณ์พกพาที่อยู่ในเครือข่ายเท่านั้นได้ เพื่อให้ผู้ใช้งานอุปกรณ์พกพาเหล่านั้นยังมีอิสระในการใช้งาน และมีความเป็นส่วนตัวมากขึ้นเมื่อนำไปใช้งานภายนอกองค์กร

 

สำหรับผู้ที่สนใจ ForeScout, NAC, BYOD และ MDM สามารถติดต่อบริษัททรูเวฟ ประเทศไทย จำกัด ที่ info@throughwave.co.th หรือโทร 02-210-0969 เพื่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม หรือนัดทดสอบอุปกรณ์ได้ทันที

 

———–

 

ที่มา: www.throughwave.co.th

แนวทางการออกแบบนโยบายรักษาความปลอดภัย BYOD ด้วย Network Access Control

ปัจจุบันนี้ หลายๆ องค์กรในประเทศไทยกำลังประสบกับปัญหาในการบริหารจัดการทางด้านความปลอดภัยสำหรับอุปกรณ์ที่ผู้ใช้งานในองค์กรนำมาใช้เอง ไม่ว่าจะเป็น Notebook, Tablet หรือ Smart Phone ยี่ห้อต่างๆ  ในบางองค์กรก็มีปัญหาตั้งแต่ระดับของความไม่เพียงพอของระบบ Wireless LAN บางองค์กรอาจจะมีปัญหาตั้งแต่นโยบายในการควบคุมการใช้งานอุปกรณ์ส่วนตัวเหล่านี้ ซึ่งในภาพรวมของปัญหาเหล่านี้เรามีชื่อเรียกกันว่า BYOD หรือ Bring Your Own Device นั่นเอง และวันนี้ทางทีมงาน Throughwave Thailand จะมาสรุปแนวทางการออกแบบนโยบายรักษาความปลอดภัย BYOD ด้วย Network Access Control หรือ NAC ให้ทุกท่านได้นำไปปรับใช้กัน

 

1. มารู้จักกับคำศัพท์สำคัญๆ ก่อน

สำหรับการรักษาความปลอดภัยอุปกรณ์ต่างๆ ที่นำมาใช้ในองค์กร  Keyword ที่เรามักจะพบเห็นกันบ่อยๆ มีดังต่อไปนี้

 

1.1 Network Access Control – NAC

NAC คือระบบรักษาความปลอดภัยเครือข่าย โดยมุ่งเน้นไปที่การควบคุมการใช้งานเครื่องลูกข่ายและอุปกรณ์เครือข่ายทั้งหมดที่มี MAC Address และ IP Address ให้สามารถใช้งานระบบเครือข่ายได้ในระดับที่แตกต่างกันตามความปลอดภัยของอุปกรณ์นั้นๆ เช่น

  • ผู้ใช้งานในองค์กรอาจจะมีสิทธิ์ในการเข้าถึงเครื่องแม่ข่าย (Server) แตกต่างกันตามแผนกของตน และผู้ใช้งานที่เป็นบุคคลภายนอกจะไม่สามารถเข้าถึงเครื่องแม่ข่ายใดๆ ได้เลย
  • เครื่องลูกข่ายที่มีการติดตั้งซอฟต์แวร์และอัพเดต Anti-virus ตามที่กำหนด จะมีสิทธิ์ในการใช้งาน Protocol หรือเข้าถึงระบบงานต่างๆ ที่สูงกว่าเครื่องลูกข่ายที่ไม่ได้ติดตั้งซอฟต์แวร์ที่กำหนด หรือมี Anti-virus ที่ไม่อัพเดต
  • เครื่องลูกข่ายที่มีพฤติกรรมโจมตีเครือข่าย หรือติดไวรัส จะถูกตัดสิทธิ์ในการใช้งาน Protocol ที่มีความเสี่ยง เช่น FTP ออกไป รวมถึงสามารถมีการแจ้งเตือนผู้ที่ใช้งานเครื่องลูกข่ายเหล่านั้นได้ว่ามีการติดไวรัส และสั่งเรียกให้ซอฟต์แวร์ Anti-virus ทำงานเพื่อค้นหาและกำจัด Virus ทันที

โดยทั่วไปแล้ว NAC จะสามารถตรวจสอบเครื่องลูกข่ายทั้งหมดได้ในระดับของเครือข่าย (Network) และมีการแถมซอฟต์แวร์ Agent สำหรับการตรวจสอบเครื่องลูกข่ายมาตรฐานเช่น Windows, Mac, Linux มาให้ด้วย เพื่อให้แต่ละองค์กรสามารถออกแบบนโยบายการรักษาความปลอดภัยได้อิสระ และบังคับตรวจสอบในเชิงลึกระดับ Application และ Process ที่ใช้งานได้ทันที โดย NAC จะมีบทบาทสำคัญเป็นอย่างมากในการรักษาความปลอดภัยระบบเครือข่ายทั้งแบบมีสายและไร้สายไปพร้อมๆ กัน ทำให้ระบบเครือข่ายมีความปลอดภัยมากขึ้น และผู้ใช้งานไม่สับสนจากการเจอการยืนยันตัวตนที่หลากหลายในระบบเครือข่ายแบบเดิมๆ

นอกจากนี้ NAC ส่วนมากในทุกวันนี้จะมีความสามารถในการทำ BYOD พ่วงมาด้วยในตัว โดยบางยี่ห้อจะสามารถใช้งานได้ฟรีๆ ไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม ในขณะที่บางยี่ห้อจะต้องเป็น Option เสริม ซึ่งมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม รวมถึงยังสามารถทำงานร่วมกับ MDM หลากหลายยี่ห้อได้อีกด้วย

 

1.2 Bring Your Own Device – BYOD

BYOD เป็นคำที่ใช้เรียกเมื่อในระบบเครือข่ายขององค์กรมีการนำอุปกรณ์ส่วนตัวเข้ามาใช้งานอย่างมีนัยยะสำคัญ ในบางองค์กรที่เมืองนอกอาจจะมีการเพิ่มเงินให้พนักงานเมื่อมีการนำ Notebook หรือ Smart Phone เข้ามาใช้งานเอง ทำให้องค์กรไม่ต้องจัดหาอุปกรณ์ทำงานเหล่านี้ให้ แต่ในขณะเดียวกันอุปกรณ์ที่นำมาใช้ก็จะต้องมีการปรับแต่งและบังคับให้มีรักษาความปลอดภัยต่างๆ ตามที่กำหนดด้วยเช่นกัน

สำหรับเมืองไทย การทำ BYOD หลักๆ คือการรักษาความปลอดภัยสำหรับอุปกรณ์ที่ผู้ใช้งานนำมาใช้เอง เช่น Notebook, Smart Phone, Tablet โดยจำกัดการใช้งานที่ระดับเครือข่าย โดยบังคับให้มีการยืนยันตัวตน และบังคับให้มีสิทธิ์ในการเข้าถึงระบบเครือข่ายน้อยกว่าการนำอุปกรณ์ขององค์กรมาใช้งาน รวมถึงในบางกรณียังมีการจำแนกประเภทของอุปกรณ์ เช่น Apple iPhone, Google Android หรือ Microsoft Windows Phone และกำหนดสิทธิ์ให้อุปกรณ์ต่างๆ มีสิทธิ์ในระดับที่แตกต่างกันอีกด้วย หรือบางกรณีก็อาจห้ามไม่ให้มีการใช้งานอุปกรณ์บางประเภทที่มีความเสี่ยงทางด้านความปลอดภัยในระดับสูงเลยก็เป็นได้

 

1.3 Mobile Device Management – MDM

MDM เป็นคำที่ใช้เมื่อต้องการที่จะควบคุมอุปกรณ์ Smart Phone และ Tablet ในเชิงลึก เช่น การตรวจสอบ Application ที่มีการติดตั้งและใช้งาน, การตรวจสอบการทำ Jailbreak หรือ Root, การบังคับห้ามใช้งานซอฟต์แวร์บางประเภท, การตรวจสอบสถานที่ของอุปกรณ์เหล่านั้น, การบังคับตั้งค่าการใช้งานของอุปกรณ์ให้มีความปลอดภัย, การบังคับลบข้อมูลสำคัญขององค์กร โดยทั่วไป MDM มักจะมีค่าใช้จ่ายต่ออุปกรณ์ที่มีการใช้งาน และสามารถควบคุมอุปกรณ์เหล่านั้นผ่านระบบเครือข่าย Public Internet หรือ 3G ได้ ทำให้ MDM เหมาะสมต่อการบังคับใช้งานอุปกรณ์ Smart Phone และ Tablet ที่เป็นทรัพย์สินขององค์กรแจกให้พนักงานใช้ทำงานได้สะดวกยิ่งขึ้น ในขณะที่การบังคับใช้ MDM กับอุปกรณ์ที่พนักงานนำมาใช้เองนั้น จะทำให้องค์กรต้องเสียค่าลิขสิทธิ์ในการใช้งาน MDM ไปเป็นจำนวนมาก และไม่สามารถควบคุมจำนวนของลิขสิทธิ์เหล่านั้นได้

 

2. ทางเลือกสำหรับนโยบายรักษาความปลอดภัย BYOD

แต่ละองค์กรเองต่างก็มีความจำเป็นในการรักษาความปลอดภัยในระดับที่แตกต่างกัน ดังตัวอย่างต่อไปนี้

2.1 นโยบายรักษาความปลอดภัย BYOD แบบทั่วไป

สำหรับการรักษาความปลอดภัย BYOD แบบทั่วไป จะมีแนวทางดังนี้

  • PC/Notebook ขององค์กร – รักษาความปลอดภัยระดับสูงด้วย NAC พร้อมติดตั้ง Agent โดยให้สิทธิ์ในการเข้าถึงระบบงานขององค์กรได้ตามแผนกของผู้ใช้งานและใช้งาน Internet ภายนอกได้ภายหลังการยืนยันตัวตน
  • Notebook ส่วนตัว – รักษาความปลอดภัยระดับเครือข่ายด้วย NAC โดยสามารถติดตั้ง Agent แบบชั่วคราวเพื่อตรวจสอบเชิงลึก หรือไม่ติดตั้ง Agent ก็ได้ โดยให้สิทธิ์ในการเข้าถึงระบบงานพื้นฐานขององค์กรและใช้งาน Internet ภายนอกได้ภายหลังการยืนยันตัวตน เช่น ระบบ Email, เว็บไซต์ภายในองค์กร หรือระบบ Chat
  • Smart Phone/Tablet ขององค์กร – รักษาความปลอดภัยด้วย NAC พร้อม MDM Agent เพื่อตรวจสอบและควบคุมเชิงลึก และให้สิทธิ์ในการเข้าถึงระบบงานขององค์กรได้ตามแผนกของผู้ใช้งานภายหลังการยืนยันตัวตน
  • Smart Phone/Tablet ส่วนตัว – รักษาความปลอดภัยระดับเครือข่ายด้วย NAC โดยให้สิทธิ์ในการเข้าถึงระบบงานพื้นฐานขององค์กรและใช้งาน Internet ภายนอกได้ภายหลังการยืนยันตัวตน เช่น ระบบ Email, เว็บไซต์ภายในองค์กร หรือระบบ Chat

ข้อดี

  • ระบบมีความปลอดภัยสูง เพราะจำกัดสิทธิ์ของอุปกรณ์ส่วนตัวที่นำมาใช้งานแต่แรก
  • เข้าใจง่าย เนื่องจากพนักงานสามารถยอมรับได้ทันทีว่าอุปกรณ์ส่วนตัวจะไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลสำคัญขององค์กรได้ และไม่มีซอฟต์แวร์ MDM คอยรุกล้ำความเป็นส่วนตัวของพนักงาน
  • ประหยัดค่าใช้จ่าย โดยมีค่าใช้จ่าย NAC ในระบบรวม และมีค่าใช้จ่าย MDM เฉพาะในส่วนของทรัพย์สินองค์กรเท่านั้น

ข้อเสีย

  • พนักงานไม่สามารถนำอุปกรณ์ส่วนตัวมาใช้ทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

2.2 นโยบายรักษาความปลอดภัย BYOD แบบเข้มงวด

สำหรับการรักษาความปลอดภัย BYOD แบบเข้มงวด จะมีแนวทางดังนี้

  • PC/Notebook ขององค์กร – รักษาความปลอดภัยระดับสูงด้วย NAC พร้อมติดตั้ง Agent โดยให้สิทธิ์ในการเข้าถึงระบบงานขององค์กรได้ตามแผนกของผู้ใช้งานและใช้งาน Internet ภายนอกได้ภายหลังการยืนยันตัวตน
  • Notebook ส่วนตัว – รักษาความปลอดภัยสูงด้วย NAC โดยบังคับติดตั้ง Agent แบบชั่วคราวเพื่อตรวจสอบเชิงลึก หรือไม่อนุญาตให้ใช้งาน Notebook ส่วนตัวเลยก็ได้ โดยให้สิทธิ์ในการเข้าถึงระบบงานพื้นฐานขององค์กร, ใช้งานบางระบบงานขององค์กรตามแผนกของผู้ใช้งาน และใช้งาน Internet ภายนอกได้ภายหลังการยืนยันตัวตน เช่น ระบบ Email, เว็บไซต์ภายในองค์กร หรือระบบ Chat
  • Smart Phone/Tablet ขององค์กร – รักษาความปลอดภัยด้วย NAC พร้อม MDM Agent เพื่อตรวจสอบและควบคุมเชิงลึก และให้สิทธิ์ในการเข้าถึงระบบงานขององค์กรได้ตามแผนกของผู้ใช้งานภายหลังการยืนยันตัวตน
  • Smart Phone/Tablet ส่วนตัว – รักษาความปลอดภัยด้วย NAC พร้อม MDM Agent เพื่อตรวจสอบและควบคุมเชิงลึก และให้สิทธิ์ในการเข้าถึงระบบงานพื้นฐานขององค์กร, ใช้งานบางระบบงานขององค์กรตามแผนกของผู้ใช้งานและใช้งาน Internet ภายนอกได้ภายหลังการยืนยันตัวตน เช่น ระบบ Email, เว็บไซต์ภายในองค์กร หรือระบบ Chat

ข้อดี

  • ระบบมีความปลอดภัยสูงมาก เพราะมีการตรวจสอบอุปกรณ์ที่นำมาใช้งานอย่างเข้มงวด และจำกัดสิทธิ์การเข้าใช้งานตามความเป็นเจ้าของของอุปกรณ์เหล่านั้น
  • พนักงานสามารถนำอุปกรณ์ส่วนตัวมาใช้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

ข้อเสีย

  • มีค่าใช้จ่ายสูง เนื่องจากองค์กรต้องออกค่าใช้จ่ายสำหรับ MDM Agent ตามจำนวนของอุปกรณ์ส่วนตัวที่พนักงานนำมาใช้ และมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมเรื่อยๆ ตามจำนวนของอุปกรณ์ที่พนักงานนำมาใช้ หรือมีการเปลี่ยนใหม่โดยไม่แจ้งผู้ดูแลระบบ
  • มีการดำเนินการที่ยุ่งยาก เนื่องจากผู้ดูแลระบบต้องแบกรับภาระหน้าที่เพิ่มเติมในการแก้ปัญหาทางด้านการนำอุปกรณ์ส่วนตัวซึ่งมีความหลากหลายสูงมาใช้งาน รวมถึงการจัดการในการเพิ่มและลบอุปกรณ์ส่วนตัวออกจากระบบอีกด้วย
  • ไม่มีความเป็นส่วนตัว เนื่องจากอุปกรณ์ส่วนตัวของพนักงานจะต้องติดตั้ง MDM Agent ซึ่งคอยบังคับและจำกัดสิทธิ์ในการใช้งานซอฟต์แวร์ต่างๆ ในอุปกรณ์ส่วนตัว

 

3. สรุป

แต่ละองค์กรควรจะชั่งน้ำหนักความต้องการทางด้านความปลอดภัย, ภาระหน้าที่ และค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นให้เหมาะสมต่อความต้องการขององค์กร และเลือกกำหนดนโยบายรักษาความปลอดภัยที่เหมาะสมตามต้องการ

สำหรับท่านที่สนใจในโซลูชัน BYOD และ MDM ทางบริษัททรูเวฟ ประเทศไทย จำกัด มีโซลูชัน Automated Security Control จาก ForeScout ที่สามารถให้บริการได้ทั้ง NAC, BYOD และ MDM พร้อมๆ กันได้ รวมถึงสามารถช่วยในการบริหารจัดการเครื่องลูกข่าย (PC Management), ตรวจสอบระบบเครือข่าย (Network Monitoring), สร้างรายการคลังอุปกรณ์ (Inventory Management) รวมถึงตรวจจับและยับยั้งการโจมตีในเครือข่ายได้ (IPS and Advanced Threat Prevention) โดยสามารถติดต่อได้ที่ info@throughwave.co.th หรือโทร 02-210-0969 เพื่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม และนัดทดสอบระบบได้ทันที

———–

ที่มา https://www.throughwave.co.th