Infortrend เปิดตัว EonNAS 1000 Gen2 – Unified Storage สำหรับตอบรับตลาด SMB, CCTV และ Backup โดยเฉพาะ

Infortrend ผู้ผลิตระบบ Enterprise Storage ชั้นนำของโลก ได้ประกาศเปิดตัว Infortrend EonNAS 1000 Gen2 ระบบ Unified Storage ตอบรับความต้องการสำหรับตลาดองค์กรขนาดเล็กและขนาดกลาง, ระบบจัดเก็บ CCTV Storage, ระบบ File Sharing Storage และระบบ Backup Storage โดยเฉพาะ โดยเพิ่ม Interface ใหม่ๆ เช่น 16Gbps FC เข้าไป พร้อมรองรับ Enterprise Hard Drive ขนาดใหญ่ถึง 6TB โดย EonNAS 1000 Gen2 มีฟีเจอร์ต่างๆ ที่น่าสนใจดังนี้

  • รองรับการเพิ่มขยายสูงสุดได้ถึง 128 Drives รวมพื้นที่ใช้งาน 768TB
  • มาพร้อม Onboard 1Gbps iSCSI / NAS และเพิ่ม 10Gbps iSCSI / NAS และ 16Gbps Fibre Channel ได้
  • ให้บริการ File Sharing ได้ด้วย CIFS/SMB, NFS, AFP, FTP, FTPS และ Secure FTP
  • ให้บริการ Block Storage ได้ด้วย iSCSI และ Fibre Channel
  • ใช้ ZFS คอยแก้ไข Data Corrupt และตรวจสอบ Integrity เสมอ
  • รองรับ RAID 0, 1, 5, 6, 10, 50, 60
  • สามารถทำ Remote Replication พร้อม Encryption 128 bit ได้เลย ไม่ต้องมี License เพิ่ม
  • ทำการ Scan Drive เพื่อตรวจสอบความพร้อมในการใช้งานเสมอ
  • สามารถทำ Snapshot ได้ไม่จำกัดจำนวน
  • สามารถทำ Pool Mirror เพื่อ Replicate ข้อมูลภายในสาขาเดียวกันได้ตลอดเวลา
  • ใช้งานได้ทั้ง Microsoft Windows, Mac OS X และ VMware

2014-11-18_1738542014-11-18_173925

สำหรับผู้ที่สนใจ สามารถติดต่อทรูเวฟได้ที่ 02-210-0969

ข้อมูลเพิ่มเติม

Supermicro เสริมความสามารถให้ VMware EVO: RAIL และ VSAN สามารถทำ File Sharing ได้ด้วย NexentaConnect

Supermicro ผู้ผลิตระบบ Server ชั้นนำสำหรับ Data Center ขนาดใหญ่ทั่วโลก ได้เสริมความสามารถให้กับโซลูชั่น Hyper-Converged Infrastructure จาก VMware EVO: RAIL และ VMware VSAN ให้สามารถให้บริการ File Sharing ด้วย NFS และ SMB เพื่อตอบรับความต้องการของ Software Defined Data Center ขึ้นไปอีกขั้น จับมือกับ Nexenta ในการ Integrate NexentaConnect ที่จะนำพื้นที่จาก EVO: RAIL และ VSAN มาสร้าง File Sharing Service สำหรับให้บริการให้แก่ Data Center Servers และ End Point PCs ได้ทันที โดยมีจุดเด่นดังนี้

  • ให้บริการ File Sharing ได้ครอบคลุม ทั้ง NFSv3, NFSv4 และ SMB
  • บริหารจัดการได้อย่างง่ายดายผ่าน vSphere Web Client
  • รองรับความสามารถ VMware HA และ DRS
  • สามารถ Integrate เข้ากับ Domain Service เช่น AD, LDAP และ Kerberos ได้
  • เพิ่มความทนทานให้แก่ VSAN ในการทำ Backup และ Availability
  • สนับสนุนการทำ Remote Site Replication
  • ลดพื้นที่ในการใช้งานด้วยการทำ Inline Deduplication และ Compression
  • มีรายงานทางด้านประสิทธิภาพ เช่น IOPS และ Latency พร้อมทั้งมีรายงานด้าน Capacity และการทำ Data Reduction

สำหรับผู้ที่สนใจ สามารถติดต่อทรูเวฟได้ที่ 02-210-0969

2014-11-14_171019


ข้อมูลเพิ่มเติม

Nexenta NexentaConnect https://www.nexenta.com/products/nexentaconnect
Nexenta NexentaConnact + VSAN https://www.nexenta.com/products/nexentaconnect/nexentaconnect-vsan

ที่มา: https://www.supermicro.com.tw/newsroom/pressreleases/2014/press141016_Nexenta-smci-vmw.cfm

Cisco Meraki เปิดตัว Systems Manager Enterprise รุกตลาด Cloud-based Enterprise Mobile Management

Cisco Meraki ผู้ผลิตระบบ Cloud Networking ชั้นนำระดับโลกจาก Cisco ได้เปิดตัว Systems Manager Enterprise สำหรับต่อยอดการบริหารจัดการ PC, Notebooks และ Mobile Device จากระยะไกลให้รองรับความต้องการของ Enterprise Mobile Management และ BYOD ให้ปลอดภัยยิ่งขึ้น โดยรองรับความสามารถดังต่อไปนี้

  • สามารถบริหารจัดการผ่านระบบ Cloud ได้จากศูนย์กลางผ่านระบบ Cloud จาก Cisco Meraki
  • สนับสนุนการทำ Device Enrollment, Provisioning, Monitoring และ Security
  • สามารถ Integrate กับอุปกรณ์เครือข่าย ให้ปรับเปลี่ยนนโยบายรักษาความปลอดภัยตาม End Point ได้
  • สามารถทำ Mobile Security โดยการแยกข้อมูลขององค์กร กับข้อมูลส่วนตัวออกจากกันได้อย่างเด็ดขาด
  • สามารถ Integrate กับ Cisco ISE เพื่อทำ NAC และ BYOD ได้แบบครบวงจร
  • สามารถ Integrate กับ Microsoft Active Directory ได้ ทำให้สามารถใช้ User Directory เดิมที่มีอยู่ได้
  • สามารถ Integrate กับ Samsung Knox เพื่อควบคุม Samsung Android ในระดับลึกได้
  • มีบริการโดยตรงจาก Cisco Meraki แบบ 24×7

2014-11-13_114536

สิ่งที่เพิ่มเติมมาอย่างเห็นได้ชัดเจนคือความสามารถในการ Integrate เข้ากับระบบเครือข่ายและระบบรักษาความปลอดภัยระดับองค์กรที่มีมากขึ้น ทำให้สามารถตอบโจทย์ของการทำ Network Access Control และ BYOD ระดับองค์กรได้อย่างครอบคลุม อีกทั้งยังได้เพิ่มเติมความสามารถในการควบคุมความปลอดภัยระดับเครือข่ายเพิ่มขึ้นมา ทำให้สามารถกำหนด Network Policy อ้างอิงตามสถานะการใช้งาน Profile ต่างๆ ได้แตกต่างกันอีกด้วย ทำให้การ Deploy ระบบสามารถทำได้จากศูนย์กลางอย่างง่ายดาย

ในทางกลับกัน Cisco Meraki Systems Manager Enterprise ก็ยังช่วยเสริมในส่วนของการทำ Security Compliance ให้กับระบบรักษาความปลอดภัยเครือข่ายเดิมที่มีอยู่ได้ โดยสามารถตรวจสอบ Client Health, Geofencing Location และ Security Posture อย่างเช่นการทำ Encryption, การ Lock, การทำ Jailbreak, การกำหนดค่าบนอุปกรณ์, Application และ Content ทำให้สามารถกำหนดนโยบายรักษาความปลอดภัยแยกย่อยได้ตามประเภทของผู้ใช้งาน

สำหรับผู้ที่สนใจ สามารถติดต่อทรูเวฟได้ที่ 02-210-0969

ข้อมูลเพิ่มเติม
Cisco Meraki Systems Manager Website https://meraki.cisco.com/products/systems-manager
Cisco Meraki Systems Manager Datasheet https://meraki.cisco.com/lib/pdf/meraki_datasheet_sm.pdf
A New Player in Enterprise Mobility Management https://meraki.cisco.com/blog/2014/09/a-new-player-in-enterprise-mobility-management/

VMware เปิดตัว VMware Horizon Flex ตอบรับความต้องการ Virtual Desktop ในแบบ Offline

VMware ผู้นำทางด้านเทคโนโลยี Virtualization และ Cloud ได้เปิดตัว VMware Horizon Flex สำหรับตอบโจทย์ทางด้านการใช้งาน Virtual Desktop ในแบบ Offline บน PC หรือ Notebook ได้ภายนอกองค์กร รวมถึงการตอบโจทย์ BYOD สำหรับกลุ่มผู้ใช้งานที่เป็น Contractor หรือพนักงานที่ต้องเดินทางไปภายนอกองค์กรเป็นประจำ โดยยังคงมีความสามารถในการบริหารจัดการและการรักษาความปลอดภัยในระดับเดียวกับ Virtual Desktop Infrastructure (VDI) และ Desktop as a Service (DaaS) อีกทั้งยังรองรับเครื่อง Client ได้ทั้ง Microsoft Windows และ Mac OS X อีกด้วย ทำให้องค์กรมีทางเลือกในการบริหารจัดการ Desktop ที่ยืดหยุ่นขึ้นอีกระดับ ซึ่งแนวคิดทั้งหมดนี้ถูกเรียกรวมๆ ว่า Containerized Desktop นั่นเอง

vmw-scrnsht-horizon-flex-workanywhere-lg

สำหรับการใช้งาน VMware Horizon Flex นี้ Virtual Desktop ของผู้ใช้งานแต่ละคนจะถูกส่งไปประมวลผลและทำงานบน Type-2 Hypervisor ของ VMware อย่าง VMware Workstation, Vmware Fusion และ VMware Player แทนที่จะประมวลผลจากศูนย์กลางแบบ VDI ทั่วๆ ไป โดยผู้ดูแลระบบสามารถสร้าง Golden Image เหมือนใน VDI สำหรับไว้เป็นแม่แบบของเครื่อง Virtual Desktop และแจกจ่ายให้กับผู้ใช้งานได้ทันทีผ่านทาง USB หรือระบบเครือข่ายก็ได้
vmw-scrnsht-horizon-flex-simplify-lg
นอกจากนี้ เมื่อผู้ดูแลระบบต้องการทำการเปลี่ยนแปลงการติดตั้งซอฟต์แวร์หรือการตั้งค่าใน Virtual Desktop เหล่านั้น ก็สามารถทำผ่าน VMware Horizon Mirage ได้ทันที ซึ่ง VMware Mirage นี้จะครอบคลุมถึงทั้งการทำ Provisioning, การบริหารจัดการ, การ Update OS และ Application ได้อย่างง่ายดาย โดยการจัดการทั้งหมดนี้จะทำโดยอัตโนมัติเมื่อเครื่องของผู้ใช้งานสามารถทำการเชื่อมต่อกับระบบส่วนกลางของ Horizon Flex ได้ พร้อมทั้งทำการ Backup ข้อมูลจาก Virtual Desktop กลับมายังส่วนกลางโดยอัตโนมัติอีกด้วย ทำให้เมื่อเครื่องสูญหายหรือพังไป ผู้ดูแลระบบก็สามารถทำการสร้างเครื่อง Virtual Desktop ขึ้นมาใหม่ได้โดยไม่มีการสูญเสียข้อมูลใดๆ เกิดขึ้น

สำหรับผู้ที่สนใจ VMware Horizon Flex สามารถติดต่อทรูเวฟได้ครับ

ข้อมูลเพิ่มเติม
VMware Horizon Flex Website https://www.vmware.com/products/horizon-flex
Announcing Horizon Flex https://blogs.vmware.com/cto/announcing-horizon-flex/

ForeScout จับมือ McAfee สร้างโซลูชั่นรักษาความปลอดภัยเครือข่าย, BYOD และรับมือ APT ไปพร้อมๆ กัน

ForeScout ผู้ผลิตระบบ Next Generation Network Access Control และ BYOD ชั้นนำ ได้จับมือกับ McAfee ผู้นำทางด้านระบบรักษาความปลอดภัยสำหรับองค์กร สร้างโซลูชั่นรวมสำหรับรักษาความปลอดภัยแบบครอบคลุมตั้งแต่ Network Infrastructure ลงไปจนถึง BYOD โดยให้ ForeScout CounterACT ที่เป็น NAC Appliance ทำงานร่วมกับ McAfee Data Exchange Layer (DXL) ในการแลกเปลี่ยนข้อมูลทางด้านความปลอดภัยร่วมกัน รวมถึงรับข้อมูลทางด้านความปลอดภัยจาก McAfee Threat Intelligence Exchange (TIE) เพื่อให้การบังคับใช้งานนโยบายรักษาความปลอดภัยเครือข่ายองค์กร ได้รับข้อมูลอย่างครบถ้วนทั้งจาก Endpoint, Gateway และระบบรักษาความปลอดภัยทั้งหมดในเครือข่าย ส่งผลให้สามารถยับยั้งการโจมตีแบบ Next Generation Threats ไปได้ในตัวด้วย อีกทั้งยังมีการ Integrate ร่วมกันอีกหลากหลายรูปแบบ โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้

  • ForeScout CounterACT + McAfee Threat Intelligence Exchage (TIE) + McAfee Data Exchange Layer (DXL) [จำหน่ายปี 2015]
    ForeScout สามารถทำงานร่วมกับ McAfee เพื่อรองรับการทำ BYOD สำหรับ Laptop โดยเฉพาะได้ และด้วยข้อมูลที่รวบรวมจากฝั่ง McAfee ก็จะทำให้ ForeScout สามารถควบคุมและบังคับทำ Remediation ได้ตาม Malicious Events ที่หลากหลายขึ้น อีกทั้ง McAfee ยังสามารถควบคุมเครื่อง Laptop ได้ทั้งกรณีที่ติดตั้ง Agent และไม่ได้ติดตั้ง Agent ด้วยความสามารถของ ForeScout CounterACT นั่นเอง
  • ForeScout CounterACT + McAfee ePolicy Orchestrator (ePO) [ForeScout ePO Integration Module]
    ForeScout สามารถทำงานร่วมกับ McAfee ePO รุ่น 5.1.1 เพื่อทำการแลกเปลี่ยนข้อมูลกันแบบ Bi-directional ได้อย่างสมบูรณ์ โดยเมื่อมีเครื่องลูกข่ายใหม่ๆ เข้ามาในระบบ ForeScout ก็จะสามารถทำการกักกันเครื่องลูกข่ายเหล่านั้นเอาไว้ได้ไม่ว่าเครื่องนั้นจะทำการติดตั้ง McAfee ePO Agent หรือไม่ก็ตาม และสามารถให้ McAfee ePO ช่วยทำการ Remediate เครื่องที่ทำผิดนโยบายรักษาความปลอดภัยขององค์กรได้ ในทางกลับกัน เมื่อ McAfee ePO ตรวจพบว่ามีเครื่องลูกข่ายเครื่องไหนทำผิดนโยบายที่เรากำหนดเอาไว้ หรือถูกตรวจพบว่ามี Malware โดย McAfee TIE ระบบของ McAfee ePO ก็สามารถสั่งให้ ForeScout ช่วยทำการจำกัดสิทธิ์ของเครื่องลูกข่ายนั้นได้เช่นกัน
  • ForeScout CounterACT + McAfee Vulnerability Manager (MVM) [ForeScout Vulnerability Assessment Integration Module]
    เมื่อ ForeScout CounterACT ตรวจพบเครื่องลูกข่ายใหม่ๆ ในระบบ ก็จะทำการส่งสัญญาณไปแจ้งให้ McAfee Vulnerability Manager ทำ Vulnerability Scanning ไปยังเครื่องลูกข่ายนั้นๆ ทันที ทำให้การทำ Real-time Vulnerability Scanning สามารถเป็นไปได้จริงในระบบเครือข่าย

mcafee_logo-1024x241
สำหรับผู้ที่สนใจสามารถติดต่อตัวทรูเวฟได้ที่ 02-210-0969
ที่มา: https://www.forescout.com/press-release/forescout-partners-with-mcafee-to-deliver-dynamic-endpoint-protection/

โรงพยาบาลสงขลานครินทร์เลือกนูทานิกซ์สร้าง ศักยภาพ BYOD ทีมแพทย์

โรงพยาบาลสงขลานครินทร์เลือกนูทานิกซ์สร้าง ศักยภาพ BYOD ทีมแพทย์
เอื้อประโยชน์การรักษาและให้คำปรึกษาทางการ แพทย์ได้จากทุกที่ ทุกเวลา

กรุงเทพฯ 29 ตุลาคม 2557: นูทานิกซ์ ผู้ให้บริการเว็บ-สเกล ที่ผสานรวมโครงสร้างพื้นฐานด้านไอทีสำหรับองค์กรขนาดกลางและขนาดใหญ่ ได้รับเลือกจากโรงพยาบาลสงขลานครินทร์ ซึ่งเป็นผู้นำการให้บริการทางการแพทย์ใน 14 จังหวัดภาคใต้ ให้ติดตั้ง Nutanix™ Virtual Computing Platform  เพื่อสนับสนุนการทำงานของโซลูชั่น VMware  เพื่อการทำงานแบบเวอร์ชวลไลซ์เซชั่น (VDI)  อย่างสมบูรณ์แบบให้กับทีมแพทย์ สนองความต้องการการทำงานแบบโมบิลีตี้ และเสริมศักยภาพทีมแพทย์ของโรงพยาบาลฯ

โรงพยาบาลสงขลานครินทร์ เปิดให้บริการเมื่อปี พ.ศ. 2525 เป็นส่วนหนึ่งของมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์  นอกจากจะเป็นผู้นำในการให้บริการทางการแพทย์ให้กับประชาชนในจังหวัดภาคใต้ แล้ว ยังเป็นศูนย์กลางด้านการแพทย์ เป็นโรงเรียนและแหล่งเรียนรู้ทางการแพทย์ และเป็นสถานที่ทำวิจัยของบุคลากรสาขาวิทยาศาสตร์สุขภาพต่างๆ อีกด้วย เป็นโรงพยาบาลขนาด 853 เตียง ปัจจุบันมีแพทย์กว่า 700 คน รองรับผู้มาใช้บริการผู้ป่วยนอกวันละกว่า 3,500 คน

0001รองศาสตราจารย์ นายแพทย์ ธีรสาส์น คีรีรัฐนิคม รองคณบดีฝ่ายเวชสารสนเทศ โรงพยาบาลสงขลานครินทร์  กล่าวว่า “ทางโรงพยาบาลมีแนวคิดที่จะนำ BYOD มาใช้ให้เป็นประโยชน์  เพราะทีมแพทย์ของโรงพยาบาลมีความท้าทายด้านการให้บริการทางการแพทย์ ด้วยบทบาทและหน้าที่ของโรงพยาบาลสงขลานครินทร์ นอกจากจะให้บริการทางการแพทย์กับประชาชนในจังหวัดภาคใต้แล้ว ยังเป็นศูนย์กลางด้านการแพทย์ เป็นโรงเรียนและแหล่งเรียนรู้ทางการแพทย์ และเป็นสถานที่ทำวิจัยของบุคลากรสาขาวิทยาศาสตร์สุขภาพต่างๆ อีกด้วย  ทำให้ทีมแพทย์ต้องการระบบสารสนเทศที่อำนวยความสะดวกให้สามารถให้คำปรึกษาทาง การแพทย์และการรักษาได้จากทุกที่ และตลอดเวลา  แพทย์ของเรามีอุปกรณ์ไอทีโมบิลิตี้อยู่แล้ว สิ่งที่เราต้องการคือทำให้ทีมแพทย์สามารถใช้ระบบอินทราเน็ทและเข้าถึงแอพพลิ เคชั่น ‘Hospital Information System’ ซึ่งเป็นระบบที่เราพัฒนาเองได้จากทุกที่และ ตลอดเวลา  ในปัจจุบันมีแพทย์ประมาณ 100-120 ท่านต่อวันที่เข้าใช้งานผ่าน Nutanix™ Virtual Computing Platform เพื่อเข้าไปดูเวชระเบียนคนไข้”

นายโกเมน เรืองฤทธิ์ นักวิชาการคอมพิวเตอร์ โรงพยาบาลสงขลานครินทร์ เสริมว่า “เราได้รับคำแนะนำจากที่ปรึกษาการวางระบบไอที ของโรงพยาบาลคือบริษัททรูเวฟ ให้ใช้  Nutanix™ Virtual Computing Platform ซึ่งสามารถทำงานกับระบบเวอร์ชวลไลซ์เซชั่นที่ เชื่อมต่อแอพพลิเคชั่น ‘Hospital Information System’ พัฒนาบน Window XP ได้เป็นอย่างดี  เราใช้เวลาในการติดตั้งเพียง 2-3 วันเท่านั้น  และการใช้งานก็ง่าย ทรูเวฟมีความเข้าใจความต้องการและรูปแบบการให้บริการของโรงพยาบาล ทำให้ทีมแพทย์ของเราสามารถเข้าถึงข้อมูลการรักษาพยาบาล ของโรงพยาบาลได้จากทุกที่ ทุกเวลา ทำให้สามารถให้บริการและคำปรึกษาทางการแพทย์ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โซลูชั่นของนูทานิกซ์ลดความซับซ้อนการเข้าถีงระบบและแอ พพลิเคชั่น ด้วยความง่ายนี้ทำให้ยูสเซอร์ของเราสามารถใช้งานเองได้ จากการอ่านวิธีการใช้ผ่านเว็บบอร์ดของโรงพยาบาล และขณะนี้เรากำลังทดลองการทำงานแบบ Zero Client เพื่อการขยายการทำงานแบบเวอร์ชวลไลซ์เซชั่น ไปยังทีมงานอื่นๆ ในโรงพยาบาลต่อไป”

0002

นายทวิพงศ์ อโนทัยสินทวี ผู้จัดการ นูทานิกซ์ (ประเทศไทย) กล่าวว่า “ปัจจุบัน การนำ BYOD มาใช้ในการให้บริการเป็นไปอย่างกว้างขวางมาก ยิ่งขึ้น เนื่องจากองค์กรต้องการให้เกิดการทำงานได้จากทุกที่ และตลอดเวลา สำหรับทีมแพทย์ของโรงพยาบาลสงขลานครินทร์ ไม่ว่าพวกเขาเหล่านั้นจะอยู่ที่ไหนก็ตาม  ความสามารถในการให้คำปรึกษาทางการแพทย์มีความจำเป็น และการสามารถเชื่อมต่อกับข้อมูลของโรงพยาบาลได้ตลอดเวลา จากสมาร์ทโฟน แท็บเล็ตหรือโน้ตบุ๊ค นับเป็นหัวใจสำคัญของการให้บริการทางการแพทย์”
0003

เกี่ยวกับนูทานิกซ์
นูทานิกซ์เป็นผู้ให้บริการเว็บ-สเกล ที่ผสานรวมโครงสร้างพื้นฐานด้านไอทีสำหรับองค์กรขนาดกลางและขนาดใหญ่ด้วยแพ ลทฟอร์มการประมวลผลที่ขับเคลื่อนด้วยซอฟต์แวร์ ที่ผสานรวมการประมวลผลและระบบสตอเรจเข้าเป็นหนึ่งโซลูชั่นเพื่อผลักดันให้ เกิดการใช้งานอย่างเรียบง่ายในศูนย์ข้อมูล  ลูกค้าสามารถเริ่มต้นใช้เทคโนโลยีนี้ได้จากเซิร์ฟเวอร์จำนวนน้อย และขยายไปได้จนถึงระดับพันเซิร์ฟเวอร์  ทั้งยังสามารถคาดการณ์ประสิทธิภาพที่จะได้รับ และเงินลงทุนหรือค่าใช้จ่าย ด้วยสิทธิบัตรด้านการขยายของข้อมูลและการบริหารระดับผู้ใช้บริการ นูทานิกซ์นับเป็นพิมพ์เขียวสำหรับผู้ต้องการใช้งานแอพพลิ เคชั่นให้ได้ประโยชน์สูงสุด และในโครงสร้างพื้นฐานที่ขับเคลื่อนด้วยนโยบาย ร่วมเรียนรู้นูทานิกซ์เพิ่มเติมได้ที่  www.nutanix.com หรือติดตามได้ที่ Twitter @nutanix

นูทานิกซ์ เป็นเครื่องหมายการค้าของ นูทานิกซ์ อิงค์ เครื่องหมายการค้าและเครื่องหมายการค้าจดทะเบียนอื่นๆ เป็นทรัพย์สินของเจ้าของผลิตภัณฑ์นั้นๆ

ForeScout ถูกจัดให้เป็น Best Buy NAC และได้ 5 คะแนนเต็มทุกหัวข้อจาก SC Magazine

ForeScout ผู้ผลิตระบบ Next Generation Network Access Control (NAC) และ BYOD ได้ถูกรีวิวระบบ ForeScout CounterACT โดย SC Magazine ในฐานะของระบบ NAC และได้รับเลือกให้เป็น Best Buy NAC โดยได้รับ 5 คะแนนเต็มในทุกหัวข้อ เนื่องจากสามารถเริ่มต้นติดตั้งใช้งานได้ง่าย, สามารถทำงานร่วมกับอุปกรณ์ต่างๆ ในระบบเครือข่ายได้หลากหลาย และมีความสามารถที่หลากหลาย โดยสรุปแต่ละหัวข้อที่ SC Magazine รีวิวถึงได้ดังนี้

sc_logo_21413_345884

คะแนนในหมวดหมู่ต่างๆ

  • ความสามารถของอุปกรณ์ (Features): 5/5 คะแนน
  • ความง่ายในการใช้งาน (Ease of Use(: 5/5 คะแนน
  • ประสิทธิภาพของอุปกรณ์ (Performance): 5/5 คะแนน
  • เอกสารประกอบการใช้งาน (Documentation): 5/5 คะแนน
  • การบริการ (Support): 5/5 คะแนน
  • ความคุ้มค่าต่อราคา (Value for Money): 5/5 คะแนน
  • คะแนนรวม (Overall Rating): 5/5 คะแนน

จุดแข็ง: GUI สำหรับบริหารจัดการเข้าใจและใช้งานง่าย รวมถึงยังมีความสามารถหลากหลาย
จุดอ่อน: ไม่พบจุดอ่อนใดๆ
สรุปอย่างย่อ: มีความสามารถหลากหลาย, เริ่มต้นติดตั้งใช้งานและบริหารจัดการได้ง่าย ในราคาที่ดึงดูดใจจนได้รับเลือกให้เป็น Best Buy

ForeScout CounterACT เป็นอุปกรณ์ Network Access Control ที่ทำงานแบบ Policy-based ซึ่งสามารถสร้าง Inventory, จำแนกประเภท และบังคับใช้กฎต่างๆ สำหรับเครื่องลูกข่าย และอุปกรณ์เครือข่ายทั้งหมดได้ โดยมีรุ่น Model ที่หลากหลายให้เลือกใช้งานได้อย่างยืดหยุ่นและเพิ่มขยายได้ตามความต้องการ อีกทั้งยังสามารถเลือกซื้อได้ทั้งในรูปแบบของ Hardware และ Software โดยเมื่อติดตั้งครั้งแรก ForeScout CounterACT จะสามารถเลือกติดตั้งได้ใน 2 รูปแบบ ได้แก่ การติดตั้งแบบ Standalone และการติดตั้งแบบ Manager เพื่อบริหารจัดการ ForeScout CounterACT ชุดอื่นๆ ที่อยู่ตามสาขาต่างๆ ได้จากศูนย์กลาง ซึ่งเมื่อเลือกติดตั้งแบบหลังนี้ ผู้ดูแลระบบจะสามารถกำหนดค่าตำแหน่งที่ติดตั้งอุปกรณ์่แต่ละชุดและสร้างแผนที่โลกขึ้นมา เพื่อให้ผู้ดูแลระบบสามารถตรวจสอบสถิติการทำ Compliance  ได้อย่างรวดเร็วและง่ายดาย

สิ่งที่น่าตกใจที่สุดคือความง่ายในการติดตั้งใช้งาน เมื่อนำ Physcial Appliance ออกมาจากกล่อง เชื่อมต่อจอและคีย์บอร์ดเรียบร้อยแล้ว เมื่อทำการเปิดเครื่อง ก็จะพบกับหน้าจอ Command Line Setup ที่มีเอกสารประกอบอย่างครอบคลุมในคู่มือ และเมื่อทำการตั้งค่า IP Address ของ Management Interface เรียบร้อยแล้ว เราก็จะสามารถเข้าถึงอุปกรณ์ได้ผ่านทาง Web Browser ได้ทันที และถึงแม้การบริหารจัดการทั้งหมดจะทำผ่าน Client Software ก็ตาม แต่ก็ไม่จำเป็นต้อง Dedicate เครื่องที่ติดตั้ง Client Software เอาไว้สำหรับ ForeScout อย่างเดียวเท่านั้น และเมื่อติดตั้ง Client Software นั้นเสร็จแล้ว เราก็จะพบกับหน้าจอ Management ที่ถูกออกแบบมาเป็นอย่างดี

ForeScout CounterACT มาพร้อมกับความสามารถมากมาย แต่ก็ต้องมีการ Configuration เบื้องต้นก่อนเพื่อใช้งานความสามารถเหล่านั้น เพื่อให้ ForeScout CounterACT สามารถทำการ Monitor ระบบเครือข่ายได้อย่างสมบูรณ์ จะต้องติดตั้ง ForeScout CounterACT เข้ากับ Core Switch (หรือ Distributed Switch ก็ได้ – เพิ่มเติมโดยผู้แปล) ที่สามารถเข้าถึงเครือข่ายส่วนอื่นๆ ได้อย่างครบถ้วน และยังสนับสนุน 802.1Q Trunking เพื่อให้สามารถ Monitor ระบบเครือข่ายทีละหลายๆ VLAN ได้ แต่ ForeScout เองก็มาพร้อมกับ Ethernet Port จำนวนมากเพื่อให้สามารถ Monitor ระบบเครือข่ายได้ทีละหลายๆ ส่วนพร้อมกัน และเมื่อติดตั้งเสร็จแล้ว ForeScout ก็จะทำการสำรวจระบบเครือข่ายและอุปกรณ์ที่อยู่ในเครือข่าย และทำการจำแนกประเภทของอุปกรณ์เหล่านั้นทันทีด้วย Built-in Policy ที่ติดตั้งมาให้ ซึ่งหน้าจอ User Interface ก็ถูกออกแบบมาให้สามารถเพิ่มหรือปรับแต่งแก้ไขนโยบายเหล่านั้นได้อย่างง่ายดาย

ForeScout CounterACT มาพร้อมกับเอกสารคู่มือการใช้งานอย่างครบถ้วน โดยมีเอกสารหลายชุดซึ่งครอบคลุมถึงหัวข้อต่างๆ ที่จำเป็น เช่น การเชื่อมต่ออุปกรณ์เข้ากับระบบเครือข่าย, วิธีการเลือกติดตั้งอุปกรณ์ในตำแหน่งต่างๆ ของระบบเครือข่าย และการกำหนดค่าเบื้องต้นสำหรับ Management Interface ซึ่งเราพบว่าเอกสารเหล่านี้ได้ถูกเรียบเรียงเป็นอย่างดี พร้อมทั้งมีภาพประกอบ, Diagram และ Screen Shot มากมาย

สำหรับผู้ที่สนใจ สามารถติดต่อตัวทรูเวฟได้ที่ 02-210-0969

ที่มา: https://www.forescout.com/resource-center/

 

7 ข้อแนะนำสำหรับการเลือกซื้อ Time Server ให้เหมาะสมกับองค์กร

สำหรับองค์กรที่กำลังพิจารณานำ Time Server มาใช้งานนั้น ทางทีมงานมีข้อแนะนำสำหรับการเลือกพิจารณาประเด็นต่างๆ ที่ควรจะต้องถาม Vendor และผู้นำเสนอผลิตภัณฑ์ให้ครบถ้วน เพื่อไม่ให้มีประเด็นไหนตกหล่นไป หรือเกิดปัญหาในภายหลัง ดังต่อไปนี้

1. มีความชัดเจนว่าองค์กรต้องการ Time Server ไปตอบโจทย์อะไรขององค์กร
ก่อนอื่นเลยแต่ละองค์กรควรจะทำการพูดคุยถึงประเด็นปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นให้ชัดเจน รวมถึงความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นภายในองค์กรจากการที่ระบบ Time Synchronization ที่ใช้บริการอยู่ว่าจะมีปัญหาในลักษณะใดได้บ้าง และจะส่งผลกระทบอย่างไรต่อองค์กร เพื่อให้เกิดความชัดเจนในการทำงานและการพูดคุยกับ Vendor แต่ละรายว่าต้องการระบบมาแก้ไขปัญหาอย่างไร และมีคำแนะนำอะไรเพิ่มเติมบ้าง ซึ่งบางครั้งเมื่อวิเคราะห์เชิงลึกกันแล้ว อาจไม่จำเป็นต้องลงทุน Time Server เลยก็ได้ หรืออาจจะต้องลงทุนแยกกระจายตามสาขาก็ได้ แตกต่างกันไปตามแต่ละองค์กร

2. อุปกรณ์เครือข่าย และเครื่อง Server/PC ของเรา สนับสนุน Protocol อะไรบ้าง? และต้องการเชื่อมต่อกี่เครื่อง?
การ Sizing ระบบที่เราต้องการถือเป็นประเด็นสำคัญในการกำหนด Requirement ให้แก่ Vendor แต่ละรายไปออกแบบระบบที่เหมาะสมมาได้ โดยการเริ่มต้นจากจำนวนเครื่องที่เราต้องการเชื่อมต่อกับระบบ Time Server และต้องการใช้งาน Protocol อะไรบ้าง เพราะอุปกรณ์เครือข่ายแต่ละชนิดก็สนับสนุน Time Synchronization Protocol ที่แตกต่างกันออกไป ด้วยข้อมูล 2 ข้อนี้จะทำให้ Vendor สามารถนำเสนอรุ่นของ Hardware ที่เพียงพอต่อการใช้งานมาได้

wavify_timenx_diagram_01

3. ระบบเครือข่ายเชื่อมถึงกันหมดหรือไม่? และต้องติดตั้ง Time Server อย่างไรให้เวลาแม่นตรงจริง?
เพื่อให้การเชื่อมต่อระบบเป็นไปอย่างสมบูรณ์ ข้อมูลทางด้านระบบเครือข่ายควรจะต้องถูกส่งให้กับทาง Vendor เพื่อประเมินระบบ และออกแบบการติดตั้งมาเป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นการเชื่อมต่อของระบบเครือข่าย หรือการที่มีสาขากระจายอยู่ตามส่วนต่างๆ ของประเทศก็ตาม เพื่อให้สามารถตัดสินได้ว่า ควรจะติดตั้งแบบรวมศูนย์ หรือติดตั้งแบบกระจายตามสาขา (Distributed) และจัดแบ่งระดับของ Stratum ให้เหมาะสม รวมถึงการออกแบบระบบเพื่อรองรับกับกรณีของการทำ Disaster Recovery ด้วยเช่นกัน

4. Time Server สนับสนุน Protocol อะไรบ้าง? รองรับผู้ใช้งานได้กี่คน? และติดตั้งในระบบเครือข่ายที่ต้องการได้อย่างไร?
หลังจากที่ Requirement ชัดเจนแล้ว Vendor ควรจะสามารถให้คำตอบที่เหมาะสมกับความต้องการของเราได้อย่างชัดเจน โดยอาจจะมี Option เสริม หรือ Offer ต่างๆ เพิ่มเติมเข้ามา ก็ต้องพิจารณากันเป็นรายๆ ไปในกรณีนี้

5. ระยะในการเชื่อมสาย GPS เป็นอย่างไร?
สิ่งหนึ่งที่ผู้ผลิตแต่ละรายมีแตกต่างกัน คือเทคโนโลยีของสายที่เชื่อมต่อสัญญาณจากเสา GPS Antenna กลับมายัง Time Server ซึ่งจะส่งผลให้มีระยะการเดินสายที่แตกต่างกัน ทั้งนี้ก็ต้องสอบถามแต่ละรายให้ชัดเจนว่าสามารถเดินสายได้ยาวสุดที่เท่าไหร่ ค่าใช้จ่ายเป็นอย่างไร เพื่อให้สามารถประเมินความเป็นไปได้ในการติดตั้งอุปกรณ์จริง

6. ระบบ Time Server มีการรักษาความปลอดภัยอย่างไรบ้าง?
ประเด็นที่มักจะถูกมองข้ามอยู่บ่อยๆ ก็คือการรักษาความปลอดภัยของ Time Server นั่นเอง ซึ่งผู้ผลิตแต่ละรายก็จะมีแตกต่างกันไป บางรายอาจมี Firewall มาให้ บางรายอาจจะมีระบบ Authentication สำหรับการ Synchronize เวลาเพิ่มเติมเข้ามา ทั้งนี้ก็ต้องลองสอบถามดู

7. จะมั่นใจได้อย่างไรว่า Time Server จะทำงานถูกต้อง?
เป็นคำถามปิดสุดท้ายเพื่อดูประสบการณ์ของผู้เสนองาน ว่าจะตอบคำถามนี้อย่างไร และผลิตภัณฑ์แต่ละยี่ห้อก็มีจุดเด่นจุดด้อยในเรื่องนี้ที่แตกต่างกัน รวมถึงการนำเสนอ Reference Site เพื่อเสริมสร้างความมั่นใจก็อาจเป็นอีกทางหนึ่งของการตอบคำถามนี้ได้ด้วยเช่นกัน

สำหรับผู้ที่สนใจระบบ Time Synchronization Appliance สามารถติดต่อทรูเวฟได้ที่ 02-210-0969

wavify_timenx_unified_time_synchronization_appliance

เกี่ยวกับ Wavify TimeNX

Wavify TimeNX เป็น Unified Time Synchronization Appliance ที่ทำการประสานเวลาจากดาวเทียมผ่านทางเสา GPS ที่ติดตั้งมากับตัว Appliance เพื่อให้บริการ Time Synchronization ที่ความแม่นยำระดับ Stratum-1 ตรงตามกฎหมายพรบ.ความผิดทางคอมพิวเตอร์ของประเทศไทย โดยในการใช้งานระดับองค์กรมักจะถูกใช้เพื่อตอบสนองต่อความต้องการดังต่อไปนี้

  • ปรับเวลาของระบบ Log บน Firewall, Switch และ Software ให้ตรงกันทั้งองค์กร เพื่อให้สามารถนำข้อมูล Log มาใช้ร่วมกันระหว่างหลายอุปกรณ์ได้อย่างถูกต้องแม่นยำ และถูกต้องตามกฎหมาย
  • ปรับเวลาของเครื่อง Server และ Client ทั้งหมดให้ตรงกัน เพื่อให้ Application ทั้งหมดทำงานอยู่บนฐานเวลาเดียวกัน
  • ปรับเวลาของเครื่องจักรในสายการผลิต และแล็บทดลองต่างๆ ให้ตรงกัน เพื่อให้การทำงานร่วมกันของเครื่องจักรเป็นไปได้อย่างถูกต้อง
  • ปรับเวลาของอุปกรณ์เครือข่ายในหน่วยงานสาขาต่างๆ ให้ตรงกัน เพื่อให้ระบบงานทำงานข้ามสาขาได้อย่างถูกต้อง

โดย Wavify TimeNX รุ่นที่แนะนำ มีดังนี้

  • NX-500: GPS-based Unified Time Synchronization Appliance รองรับการประสานเวลาให้อุปกรณ์อื่นๆ จากสัญญาณเวลา GPS สูงสุด 4,400 อุปกรณ์ต่อวินาที
  • NX-300: GPS-based Unified Time Synchronization Appliance รองรับการประสานเวลาให้อุปกรณ์อื่นๆ จากสัญญาณเวลา GPS สูงสุด 2,500 อุปกรณ์ต่อวินาที
  • NX-200: Peer-2 Unified Time Synchronization Appliance รองรับการประสานเวลาที่หน่วยงานสาขา จากสัญญาณเวลา NX-500 และ NX-300 สูงสุด 1,000 อุปกรณ์ต่อวินาที

ข้อมูลเพิ่มเติม: www.wavify.com 

Nutanix เปิดตัว NX-9000 All-Flash Hyper-Converged Platform พร้อม Metro Availability สำหรับทำ Disaster Recovery ระยะห่างกว่า 400KM

Nutanix ผู้ผลิตระบบ Web-Scale Converged Infrastructure ชั้นนำ ได้เปิดเผยสองเทคโนโลยีใหม่ภายใต้ผลิตภัณฑ์ Virtual Computing Platform เพื่อตอบสนองการสร้าง Infrastructure สำหรับระบบ Application ที่ต้องการประสิทธิภาพและความทนทานในระดับสูงโดยเฉพาะ โดยได้เปิดตัว Nutanix NX-9000 Appliance ซึ่งเป็น All-Flash Hyper-Converged Platform ตัวแรกของวงการ รองรับงานที่ต้องการความเร็วเป็นพิเศษ พร้อมเปิดตัว Metro Availability เพื่อรองรับการทำ Disaster Recovery ด้วย Nutanix ระหว่างสาขาขององค์กรอีกด้วย

All-Flash NX-9000 Nutanix Appliance
เพื่อรองรับความร้อนแรงของตลาด All Flash Array/All Flash Storage ทาง Nutanix จึงได้ออก Nutanix NX-9000 ซึ่งเป็น Hyper-Converged Platform ที่ใช้ดิสก์แบบ Flash ทั้งหมด ตอบโจทย์ของระบบฐานข้อมูลสำหรับงาน Online Transaction Processing (OLTP) โดยเฉพาะ ซึ่งระบบซอฟต์แวร์กลุ่มนี้ไม่เพียงต้องการประสิทธิภาพในระดับสูงมากเท่านั้น แต่ยังต้องการ I/O Latency ที่ต่ำอย่างสม่ำเสมออีกด้วย นอกจากนี้ด้วยเทคโนโลยีการทำ Scale-Out Compression และ Deduplication ของ Nutanix เองก็ยังคงช่วยให้การใช้งานพื้นที่ของ Flash Storage เป็นไปอย่างคุ้มค่ามากยิ่งขึ้น ทำให้ไม่เกิดปัญหาคอขวดทางด้านประสิทธิภาพและพื้นที่ใช้งานอีกด้วย

นอกเหนือจากความคุ้มค่าในการใช้งาน และความง่ายในการออกแบบและติดตั้งระบบแล้ว ยังมีจุดที่ Nutanix เหนือกว่า All-Flash Array อื่นๆ ดังนี้

  • การเพิ่มขยายแบบ Scale-Out ได้อย่างแท้จริง (True Scale-Out Storage) – ผู้ใช้งาน Nutanix สามารถเพิ่มพื้นที่จัดเก็บข้อมูลและประสิทธิภาพการทำงานของระบบทั้งหมดได้พร้อมๆ กันแบบไม่มี Down Time ด้วยการเพิ่ม Node เข้าไป โดยระบบทั้งหมดจะยังคงมีเพียง Datastore เดียวซึ่งสามารถเพิ่มขยายได้อย่างไร้ขีดจำกัด
  • ประสิทธิภาพการใช้งานที่สูงกว่า (More Efficient Performance) – ด้วยการใช้งาน Nutanix Hyper-Converged Architecture ข้อมูลที่มีการใช้งานบนแต่ละ VM จะถูกจัดเก็บอยู่บน Local Drive ทั้งหมด ทำให้การเขียนอ่านและประมวลผลข้อมูลทั้งหมดสามารถเกิดขึ้นได้โดยมี Latency ที่น้อยที่สุด ต่างจาก All Flash Array ที่ต้องมี Network Latency เสมอ
  • สนับสนุน Application ได้หลากหลาย (Greater Application Support) – ด้วยคุณลักษณะพิเศษของ Nutanix ที่ถูกออกแบบมาสำหรับงาน Virtualization โดยเฉพาะ ทำให้ Nutanix สามารถรองรับ Application ในรูปแบบที่หลากหลาย และรองรับ I/O Size ที่แตกต่างกันได้ในระบบเดียว

โดยการเปิดตัว NX-9000 นี้ ทำให้ผู้ใช้งาน Nutanix เดิมมีทางเลือกสำหรับการใช้งานระบบงานที่หลากหลายมากขึ้น โดยสามารถนำ Nutanix NX-9000 ติดตั้งใช้งานร่วมกับระบบ Nutanix เดิมที่มีอยู่ เพื่อรองรับ Application ที่ต้องการประสิทธิภาพสูงกว่าเดิมได้อย่างง่ายดาย

nutanix-bezel-650

Metro Availability
สำหรับระบบงานที่ต้องการความทนทาน หรือองค์กรที่ต้องการทำ Disaster Recovery ทาง Nutanix ได้ริเริ่มเป็นผู้ผลิต Hyper-Converged Architecture เจ้าแรกที่รองรับการทำ Disaster Recovery ข้ามสาขา ด้วยการทำ Synchronous Mirroring ตลอดเวลา ทำให้การสำรองข้อมูลข้ามสาขาสามารถเป็นไปได้ในแบบกึ่ง Real-time และมี Recovery Point Objective (RPO) แทบจะเป็นศูนย์ โดยฟีเจอร์ Metro Avaialability นี้ถูกฝังอยู่ใน Software ของ Nutanix ทำให้สามารถติดตั้งใช้งานได้ภายในเวลาเพียงไม่กี่นาที ผ่านทางหน้าจอบริหารจัดการของ Nutanix และยังมีจุดเด่นที่น่าสนใจดังนี้

  • มีความยืดหยุ่นสูง (More Flexibility) – สามารถสำรองข้อมูลข้ามสาขากันได้อย่างอิสระ รองรับการสำรองข้อมูลทั้งแบบ One-to-Many และ Many-to-One และไม่ต้องการฮาร์ดแวร์เสริมแต่อย่างใด
  • จัดการได้ถึงระดับ VM (VM Awareness) – สามารถเลือกการทำ Synchronous เป็นราย Virtual Machine (VM) ได้ ทำให้ลดการใช้ Bandwidth ที่ไม่จำเป็นออกไป และเลือกทำ Disaster Recovery ได้เป็นราย VM
  • รองรับระยะทางไกลกว่าเดิมถึง 2 เท่า (2x Greater Distances Between Sites) – รองรับการสำรองข้อมูลไปยังสาขาที่ห่างออกไปถึง 400 กิโลเมตร ซึ่งไกลกว่าเทคโนโลยีปัจจุบันที่มีอยู่ถึง 2 เท่า

Nutanix-NX9040

โดยราคาเริ่มต้นของ NX-9000 นี้อยู่ที่ 220,000 USD ต่อ 2 node ในขนาด 2U และสำหรับผู้ที่ต้องการใช้งาน Metro Availability นี้ ฟีเจอร์นี้จะพร้อมให้ใช้งานได้ในซอฟต์แวร์ Nutanix Operating System (NOS) รุ่น 4.1 ใน License ระดับ Ultimate Edition

สำหรับผู้ที่สนใจ Nutanix สามารถติดต่อทรูเวฟได้ที่ 02-210-0969

ข้อมูลเพิ่มเติม
Nutanix Tech Spec: https://www.nutanix.com/the-nutanix-solution/tech-specs/
Nutanix Spec Sheet: https://go.nutanix.com/rs/nutanix/images/Nutanix_Spec_Sheet.pdf

ที่มา: https://www.nutanix.com/2014/10/09/nutanix-unveils-industrys-first-all-flash-hyper-converged-platform-and-only-stretch-clustering-capability/

ทางเลือกราคาประหยัดสำหรับสร้าง Solid State SAN Storage ด้วย SSD ที่มีขายในไทย

Infortrend ผู้ผลิตระบบ SAN Storage ชั้นนำของโลก ได้นำเสนอ Infortrend ESDS 3024RB ซึ่งเป็น Fibre Channel/iSCSI Dual Controller SAN Storage ประสิทธิภาพสูงขนาด 2U และรองรับ 2.5″ Hot Swappable โดย Infortrend ได้เปิดเผย Compatible Hard Drive / Solid State Drive เพื่อเป็นทางเลือกให้กับผู้ที่ต้องการระบบ SAN Storage ราคาประหยัด และจัดหา HDD/SSD ได้ด้วยตัวเอง ซึ่งก็เหมาะกับประเทศไทยมากที่มี HDD/SSD ราคาถูกให้เลือกหามากมาย รวมถึง SSD รุ่นยอดนิยมอย่าง Intel DC S3700 และ S3500 ทำให้สามารถสร้าง SSD SAN Storage สำหรับ Database, Virtualization, VDI และ Video Editing ได้อย่างประหยัด

Spec คร่าวๆ ของ Infortrend ESDS 3024RB มีดังนี้

  • เป็นแบบ Dual Controller โดยมี Cache รวมกันสูงสุดถึง 32GB
  • ประสิทธิภาพการเขียนอ่านต่อวินาทีสูงสุด 1,300,000 ครั้งต่อวินาที (1,300,000 IOPS)
  • Throughput สูงสุด 5,500MB ต่อวินาที
  • มี Interface ให้เลือกหลากหลาย ได้แก่ 8/16Gbps Fibre Channel, 1/10Gbps iSCSI และ 6Gbps SAS
  • ติดตั้ง 2.5″ Hot Swapple Drive ภายในได้ 24 ลูก และเชื่อมขยายผ่าน JBOD ขนาด 2.5″ และ 3.5″ ได้ถึง 360 ลูก
  • รองรับ SAS, NL-SAS, SATA และ SSD
  • สนับสนุน RAID 0, 1, 5, 6, 10, 50, 60 และ Hot Spare Drive
  • รองรับการเพิ่มระบบไฟฟ้าสำรองภายใน (Battery Backup Unit) ลดความเสี่ยงที่ข้อมูลจะเสียหายเมื่อเกิดไฟดับหรือไฟกระชาก
  • มี Hot Swappable Redundant Power Supply 2 ชุด
  • สำรองข้อมูลด้วย Snapshot และ Volume Copy/Mirror ได้
  • มี License เสริมสำหรับทำ Disaster Recovery ด้วย Remote Replication ได้
  • มี License เสริมสำหรับทำ Automated Storage Tiering ได้
  • ใช้งานกับ Microsoft Windows Server 2008/2008R2/2012/2012R2, Microsoft Hyper-V, Red Hat Enterprise Linux, SUSE Linux Enterprise, Sun Solaris, Mac OS X, HP-UX, IBM AIX, VMware และ Citrix XenServer ได้

hostInterface

โดยสำหรับ SSD ทาง Infortrend ก็สนับสนุนของผู้ผลิตชั้นนำหลายราย ทั้ง Intel, HGST, SanDisk และ Toshiba รวมถึง HDD จาก HGST, Toshiba, Seagate และ Western ซึ่ง List ของ Compatibility Matrix เต็มๆ สำหรับ SSD/HDD นี้ สามารถดาวน์โหลดได้ทันทีที่ https://www.infortrend.com/ImageLoader/LoadDoc/541

ผู้ที่สนใจ Infortrend สามารถติดต่อทรูเวฟได้ที่ 02-210-0969

ข้อมูลเพิ่มเติม
Infortrend ESDS 3024RB Website https://www.infortrend.com/global/products/models/ESDS%203024RB

Infortrend เพิ่มขีดความสามารถ SSD SAN Storage ด้วย 4-Level Storage Tiering, Drive Wear Detection และ Self Encrypted Drive

Infortrend ผู้ผลิตระบบ SAN Storage ชั้นนำของโลก ได้เปิดเผยฟีเจอร์เพิ่มเติมสำหรับผลิตภัณฑ์ SAN Storage ยอดนิยมอย่าง Infortrend ESDS 1000 และ ESDS 3000 ให้รองรับการทำงานร่วมกับ Solid State Drive (SSD) ได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงและทนทานยิ่งขึ้น รวมถึงยังทำให้การจัดเก็บข้อมูลมีความปลอดภัยสูงขึ้นอีกด้วย ดังนี้

4-Level Storage Tiering
สำหรับองค์กรที่ต้องการระบบ Storage ที่มีความเร็วระดับ SSD และมีพื้นที่ใช้งานระดับ SATA ทาง Infortrend ได้รองรับการทำ Automated Storage Tiering สูงสุดด้วยกันถึง 4 ชั้น เพื่อรองรับข้อมูลที่มีปริมาณการ Access ในระดับต่างๆ อย่างครบถ้วน โดยสามารถทำ Tiering ร่วมกันได้ระหว่าง SSD, SAS, NL-SAS และ SATA ทำให้ข้อมูลถูกจัดเก็บอย่างทนทานภายใต้ความเร็วระดับที่เหมาะสม ช่วยลดค่าใช้จ่ายในการลงทุน Storage โดยรวมได้เป็นอย่างดี

Drive Wear Detection
สำหรับ SSD Drive ที่ติดตั้งใช้งานทั้งหมด Infortrend จะแสดงข้อมูล Drive Wear ของ SSD แต่ละลูกแบบ Real-time พร้อมทั้งแจ้งเตือนผู้ดูแลระบบทันทีเมื่อ SSD ลูกไหนถูกใช้งานจนใกล้จะเกินขีดจำกัดแล้ว ทำให้การนำ SSD มาใช้ในองค์กรมีความเสี่ยงน้อยลง และปกป้องข้อมูลที่จัดเก็บอยู่บน SSD ได้ดียิ่งขึ้น

Self Encrypted Drive (SED) Support
Self Encrypted Drive (SED) หรือ Drive ที่มาพร้อมกับ Hardware Key สำหรับเข้ารหัสโดยเฉพาะนั้น จะมีบทบาทเป็นอย่างมากสำหรับองค์กรที่ต้องการเข้ารหัสข้อมูลที่จัดเก็บเพื่อไม่ให้ข้อมูลรั่วไหลหรือถูกโจรกรรมหรือถูกกู้คืนจาก Drive ที่เลิกใช้งานไปแล้วได้ โดย Infortrend ESDS 1000 และ ESDS 3000 ได้รองรับ SSD ที่มีความสามารถในการทำ SED ทำให้ความปลอดภัยของศูนย์ข้อมูลถูกยกระดับขึ้นไปพร้อมๆ กับประสิทธิภาพในเวลาเดียวกัน

สำหรับผู้ที่สนใจ Infortrend สามารถติดต่อตัวทรูเวฟได้ที่ 02-210-0969

ข้อมูลเพิ่มเติม
Infortrend ESDS 1000 Website https://www.infortrend.com/global/products/families/ESDS/1000
Infortrend ESDS 3000 Website https://www.infortrend.com/global/products/families/ESDS/3000

10 เทคนิค เพื่อการทำนโยบาย BYOD ให้ได้ผล

ForeScout ผู้ผลิตระบบ Next Generation Network Access Control (NAC) และ BYOD ชั้นนำของโลก ได้แนะแนวทางการทำนโยบายรักษาความปลอดภัยเพื่อ BYOD ให้ประสบความสำเร็จ ด้วยกัน 10 ขั้นตอน มาลองศึกษาและนำไปปรับใช้กับระบบเครือข่ายที่มีอยู่กันดูนะครับ

 

1. จัดตั้งทีมงานสำหรับวางนโยบาย BYOD โดยเฉพาะ
การวางนโยบาย BYOD ที่ดีนั้นควรจะประกอบไปด้วยทีมงานที่มีความหลากหลาย ทั้งกลุ่มของทีมงาน IT ที่แตกต่างกัน เช่น ผู้ดูแลความปลอดภัย, ผู้ดูแลเครือข่าย, ผู้ดูแลเครื่องลูกข่าย และกลุ่มผู้ใช้งานจากหน่วยงานที่แตกต่างกัน รวมถึงควรจะมีผู้รับผิดชอบหลักสำหรับการวางนโยบาย BYOD โดยเฉพาะ นโยบาย BYOD ที่ดีควรจะเกิดขึ้นจากข้อตกลงร่วมกันระหว่างพนักงานและผู้บริหารจากแต่ละ Business Unit พร้อมทั้งได้รับข้อมูลเสริมจากทีม HR โดยบทบาทของทีม IT ควรจะเป็นผู้ให้คำแนะนำและบังคับใช้งานระบบเครือข่ายให้เป็นไปตามนโยบายที่วางเอาไว้เท่านั้น

 

2. รวบรวมข้อมูลนโยบายรักษาความปลอดภัยเดิมที่มีอยู่
จัดสร้างรายงานของนโยบายรักษาความปลอดภัยเดิมที่ใช้งานอยู่ และทำการทบทวนเพื่อทำความเข้าใจเหตุผลทางด้านความปลอดภัยและการบริหารจัดการของ IT พร้อมทั้งระบุว่าที่ผ่านมาหน่วยงานไหนที่เคยให้ความร่วมมือกับการวางนโยบายเหล่านี้มาก่อน จากนั้นจึงทำการรวบรวมข้อมูลดังต่อไปนี้
จำนวนอุปกรณ์โดยมีรายละเอียดของ Platform, OS version, ความเป็นเจ้าของอุปกรณ์เหล่านั้นว่าเจ้าของคือองค์กร, พนักงาน หรือเป็นของส่วนตัวของพนักงาน
ประเมินปริมาณของข้อมูลที่มีการรับส่งผ่าน Mobile Device ทั้งหมด
Application บน Mobile Device ที่มีการใช้งาน, ความเป็นเจ้าของ Application เหล่านั้น และ Security Profile ของ Application เหล่านั้น
วิธีการในการเชื่อมต่อ Mobile Device เข้ามายังระบบเครือข่ายขององค์กร เช่น ผ่านทางสัญญาณ 3G, WiFi, Bridge เข้ากับเครื่อง PC หรือใช้ VPN
SNAG-392
3. กำหนดและจัดลำดับความสำคัญของ Use Case ในการใช้งาน
เพื่อให้นโยบาย BYOD สามารถนำมาใช้งานได้จริง นโยบายทั้งหมดที่วางไว้จะต้องสอดคล้องกับการใช้งานหลากหลายรูปแบบบน Mobile Device ทั้งหมดในองค์กร โดยทีมงานสำหรับวางนโยบาย BYOD ควรจะต้องตอบคำถามเหล่านี้ได้อย่างชัดเจน

  • อุปกรณ์ Mobile Device ต่างๆ จะถูกนำไปใช้ทำอะไรบ้าง?
  • Mobile Application ใดบ้างที่จำเป็นจะต้องมีการนำไปใช้งานแบบ Offline? (เช่น บนเครื่องบิน หรือในลิฟต์โดยสาร)
  • จะอนุญาตให้มีการเข้าถึงข้อมูลใดผ่านทาง Mobile Device ได้บ้าง?
  • จะอนุญาตให้มีการจัดเก็บข้อมูลใดบน Mobile Device ได้บ้าง?

 

4. ประเมินค่าใช้จ่าย, สิ่งที่จะได้รับกลับมา และความคุ้มค่าของโครงการ
การทำ BYOD อาจจะไม่ได้ช่วยลดค่าใช้จ่ายในทางตรง แต่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน, ลดงานในการบริหารจัดการด้านความปลอดภัย, เพิ่มความดึงดูดในการร่วมงานจากบุคคลภายนอก โดยต้องประเมินค่าใช้จ่ายโดยรวมจาก

  • ค่าใช้จ่ายสำหรับอุปกรณ์ ซึ่งอาจจะเพิ่มขึ้นหรือลดลงตามแต่นโยบายความเป็นเจ้าของอุปกรณ์ที่กำหนด
  • ค่าใช้จ่ายสำหรับการเชื่อมต่อเครือข่าย ซึ่งองค์กรอาจจะช่วยลงทุนค่าสัญญาณโทรศัพท์หรือ 3G ให้
  • ค่าใช้จ่ายสำหรับลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์สำหรับทำงานบน Mobile Device และซอฟต์แวร์สำหรับติดตามและควบคุมการใช้งาน
  • ค่าใช้จ่ายสำหรับระบบเครือข่ายที่ต้องลงทุนเพิ่มเติม ทั้งทางด้านความปลอดภัย, การบริหารจัดการ, แบนด์วิดธ์ และการสำรองข้อมูล

 

5. กำหนดนโยบาย
สำหรับองค์กรขนาดกลางและใหญ่ การออกแบบนโยบายเพียงแบบเดียวให้ครอบคลุมผู้ใช้งานทั้งองค์กรนั้นเป็นเรื่องที่แทบจะเป็นไปไม่ได้ ดังนั้นจึงควรแบ่งนโยบายแยกย่อยตามแต่ละความต้องการของผู้ใช้งานในองค์กรให้เหมาะสม เช่น สำหรับผู้ใช้งานทั่วๆ ไป ก็อาจจะเปิดให้ใช้งาน Application พื้นฐานอย่างเว็บหรืออีเมลล์ได้ แต่สำหรับทีม Sales ก็อาจจะเปิดให้ใช้งานระบบ CRM ได้เพิ่มเติมเข้าไป หรือสำหรับผู้บริหารก็อาจจะใช้งานได้ทุกอย่าง รวมถึงจำกัดประเภทของอุปกรณ์ที่สามารถนำมาใช้งานได้เพื่อลดความเสี่ยงทางด้านความปลอดภัย และแบ่งระดับของความปลอดภัยสำหรับ Mobile Device กับ Desktop/Laptop ให้ดี
SNAG-393
6. เลือกวิธีการในการรักษาความปลอดภัยเครือข่าย
เมื่อความต้องการในเชิงธุรกิจถูกวางไว้เรียบร้อยแล้ว ถัดมาก็เป็นงานของทีม IT ว่าจะควบคุมระบบเครือข่ายให้สามารถทำตามนโยบายเหล่านั้นได้อย่างไรในเชิงเทคนิค เช่น จะยืนยันตัวตนอย่างไร? จะจำกัดสิทธิ์การเข้าถึงระบบเครือข่ายอย่างไร? จะควบคุม Application อย่างไร? โดยทั่วไปแล้ว Network Access Control (NAC) มักจะกลายเป็นตัวเลือกเพราะเป็นระบบที่มีความยืดหยุ่นสูง สามารถปรับแต่งให้เข้ากับนโยบายที่ต้องการได้ และยังบังคับใช้งานนโยบายได้อย่างอัตโนมัติ ซึ่งครอบคลุมทั้งการทำ Profiling สำหรับอุปกรณ์, ยืนยันตัวตนผู้ใช้งาน, บริหารจัดการ Guest, ทำ Compliance และตรวจสอบการตั้งค่าต่างๆ รวมถึงทำการซ่อมแซมเครื่องลูกข่ายที่ไม่ผ่านนโยบายให้ปลอดภัยเพียงพอที่จะเข้าใช้งานเครือข่ายได้อีกด้วย

 

7. เลือกวิธีการในการรักษาความปลอดภัยสำหรับข้อมูล
ถึงแม้ NAC จะช่วยรักษาความปลอดภัยในเครือข่าย แต่สำหรับอุปกรณ์ Mobile Device ที่มีการนำออกไปใช้นอกองค์กร NAC เองก็ไม่สามารถตามติดไปถึงได้ ต้องอาศัยการ Integrate ร่วมกับระบบ Mobile Device Management (MDM) เพื่อบริหารจัดการและรักษาความปลอดภัยของข้อมูลบน Mobile Device โดยเฉพาะ โดยสามารถแบ่งการจัดเก็บข้อมูลส่วนตัวและข้อมูลขององค์กรบนอุปกรณ์ต่างๆ ได้ และมีระบบ Container ช่วยป้องกันไม่ให้ข้อมูลขององค์กรถูกแชร์ออกไปผ่าน Application อื่นๆ รวมถึงสามารถทำการ Lock และล้างข้อมูลในเครื่องจากระยะไกลได้
SNAG-395
8. วางแผนโครงการสำหรับ BYOD
วางแผนในการติดตั้งบังคับใช้นโยบาย BYOD ในองค์กร โดยอาจจะมีการแบ่งออกเป็นหลายๆ Phase หรือบังคับติดตั้งใช้งานให้เสร็จในรวดเดียวเลยก็ได้ โดยทั่วไปแล้วนโยบายสำหรับ BYOD จะประกอบไปด้วยการควบคุมส่วนต่างๆ เหล่านี้

  • การบริหารจัดการ Mobile Device จากระยะไกล
  • การควบคุม Application
  • การทำ Compliance และ Audit Report
  • การเข้ารหัสข้อมูลและอุปกรณ์
  • การรักษาความปลอดภัยในการใช้งาน Cloud Storage
  • การลบข้อมูลในอุปกรณ์และลบอุปกรณ์ออกจากระบบเมื่อเลิกใช้งานอุปกรณ์นั้นแล้ว
  • การยึดคืนสิทธิ์การเข้าถึงข้อมูลและเครือข่ายเมื่อพนักงานกลายเป็น Guest
  • การยึดคืนสิทธิ์การเข้าถึงข้อมูลและเครือข่ายเมื่อพนักงานกลายเป็น Guest

 

9. เลือกและประเมิน Solutions จาก Vendor รายต่างๆ
อ้างอิงจาก Gartner ซึ่งได้กล่าวไว้ว่า NAC และ MDM เป็นกุญแจสำคัญในการบังคับใช้นโยบาย BYOD ให้สำเร็จได้ เมื่อเรียก Vendor รายต่างๆ มาคุย นอกจากการพูดคุยถึงฟีเจอร์ต่างๆ แล้ว ให้ทำการประเมินให้ชัดเจนว่าการติดตั้งระบบเหล่านี้จะส่งผลกระทบอะไรต่อระบบเครือข่ายเดิมบ้าง และสามารถ Integrate กับระบบรักษาความปลอดภัยเดิมที่มีอยู่ได้หรือไม่ ไม่ว่าจะเป็น Directories, Patch Management, Ticketing, Endpoint Protection, Vulnerability Assessment และ SIEM โดยต้องประเมินความสมดุลระหว่างค่าใช้จ่าย, ความปลอดภัย และการใช้งานจริงของผู้ใช้งาน
SNAG-394
10. เริ่ม Implement Solutions
การติดตั้งและค่อยๆ ปรับปรุงระบบเป็นหัวใจหลักในการทำให้การบังคับใช้งานนโยบาย BYOD เป็นจริงขึ้นมาได้ โดยควรเริ่มต้นจาก Pilot Project ที่แผนกใดแผนกหนึ่งก่อน เพื่อทดสอบและปรับปรุงนโยบาย BYOD ให้สามารถใช้งานได้จริง และไม่ติดขัดต่อการทำงาน จากนั้นจึงค่อยๆ เพิ่มขยายจำนวนของผู้ใช้งานต่อไปเรื่อยๆ

 

สำหรับผู้ที่อยากอ่านบทความฉบับเต็มๆ สามารถเข้าไป Download ได้จากที่นี่เลยนะครับ https://www2.forescout.com/10_steps_byod_best_practices

ส่วนผู้ที่สนใจการทำ NAC และ BYOD ทาง ForeScout เองก็มี Solution รองรับค่อนข้างจะครบครัน ถ้าสนใจก็สามารถติดต่อทรูเวฟ ซึ่งเป็นตัวแทนจำหน่ายในไทยได้เลยครับ